แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การเช่าทรัพย์อยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะเช่าทรัพย์หากจำเลยจะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษก็ต้องยกขึ้นต่อสู้ไว้ เพราะตามป.วิ.พ. มาตรา 177 บัญญัติให้จำเลยแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือบางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น เมื่อตามคำให้การของจำเลยไม่ได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 อันเป็นกฎหมายพิเศษขึ้นต่อสู้คดี จำเลยจึงยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้และที่ศาลชั้นต้นหยิบยก พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ขึ้นวินิจฉัย จึงไม่ชอบเมื่อจำเลยค้างชำระค่าเช่านาพิพาทรวม 2 ปี โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกการเช่า ฟ้องขับไล่ เรียกค่าเช่าที่ค้างชำระและค่าเสียหายจากจำเลยได้.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวทำนา ต่อมาผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าที่ค้าง โจทก์บอกเลิกการเช่าต่อจำเลยแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามฟ้องของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเช่านาปี พ.ศ.2523 ถึงปี พ.ศ. 2525 รวมเป็นเงิน 22,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในต้นเงิน 14,000 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2525 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 40,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่ปี พ.ศ. 2526เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินตามฟ้องของโจทก์
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้คดีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและสามี จำเลยและสามีเคยถูกผู้รับซื้อฝากฟ้องขับไล่ แต่ตกลงกันได้ โดยจำเลยกู้เงินโจทก์มาซื้อที่พิพาทคืน โจทก์ให้ทำเป็นสัญญาซื้อขายอำพรางการจำนอง จำเลยไม่เคยเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ โจทก์มีชื่อในโฉนดในฐานะแทนจำเลย จำเลยค้างหนี้โจทก์ ถูกโจทก์ขู่บังคับให้ทำข้อตกลงว่าจำเลยค้างค่าเช่านาโจทก์ ข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพันจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 3372 ตำบลวัดไทรย์ อำเภอเมืองนครสวรรค์ (อำเภอปากน้ำโพ)จังหวัดนครสวรรค์ ของโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยชำระเงิน 22,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 14,000 บาทนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2525 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 8,000 บาท นับแต่ปี พ.ศ. 2526 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแต่ละสำนวนทั้งสองศาลแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง ที่จำเลยฎีกาว่า นายเสน่ห์ ปั้นสุขสวัสดิ์ ไม่ใช่กรรมการควบคุมการเช่านาประจำอำเภอเมืองนครสวรรค์ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 จึงไม่มีอำนาจพิจารณาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับการเรียกเก็บหรือการชำระค่าเช่านา ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 9(2) ศาลฎีกาเห็นว่า การเช่าทรัพย์อยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะเช่าทรัพย์ หากจำเลยจะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษก็ต้องยกขึ้นต่อสู้คดีไว้ เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา177 บัญญัติให้จำเลยแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือบางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น เมื่อตามคำให้การของจำเลยไม่ได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 อันเป็นกฎหมายพิเศษขึ้นต่อสู้คดี จำเลยจะยกกฎหมายพิเศษดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาหาได้ไม่ ที่ศาลชั้นต้นหยิบยกพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นจึงไม่ชอบ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยค้างชำระค่าเช่านาที่ดินพิพาทรวม 2 ปี โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกการเช่า ฟ้องขับไล่ เรียกค่าเช่าที่ค้างชำระและค่าเสียหายจากจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล
พิพากษายืน.