คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 829/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เหตุที่เรือชนกันเกิดจากการกระทำโดยประมาทของฝ่ายจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แต่ฝ่ายโจทก์ก็มีส่วนกระทำโดยประมาทก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากการที่ตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างดังนั้น จำเลยจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์มากน้อยเพียงใดก็ต้องพิจารณาว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 223 ประกอบด้วยมาตรา 442 เมื่อจำเลยให้การว่าเหตุที่เรือชนกันไม่ใช่เพราะความผิดของฝ่ายจำเลยแต่เป็นความผิดของฝ่ายโจทก์ การที่ศาลวินิจฉัยว่าเหตุละเมิดเกิดจากการกระทำโดยประมาทของฝ่ายโจทก์ด้วย จึงเป็นการวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2523 ขณะที่เรือลำเลียงชื่อ ไทยขนส่ง 6 ของโจทก์แล่นอยู่ในแม่น้ำสมุทรสาคร บริเวณหน้าวัดช่องลม ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร นายท้ายเรือซึ่งเป็นตัวแทนและลูกจ้างของจำเลยทั้งสองได้แล่นเรือ จ.โชคชัยยินดี 2 ของจำเลยทั้งสองไปในทางการที่จ้างด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง โดยมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย ด้วยการขับเรือเพื่อจะแซงขึ้นหน้าเรือของโจทก์ทั้งสอง เป็นเหตุให้เรือของจำเลยทั้งสองแล่นชนกราบซ้ายเรือโจทก์ทั้งสอง ทำให้เรือของโจทก์ทั้งสองชำรุดเสียหายเกือบทั้งลำ จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้างต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า การที่เรือชนกันไม่ใช่ความผิดของฝ่ายจำเลย แต่เป็นความผิดของฝ่ายโจทก์ เพราะเรือของจำเลยเป็นเรือใหญ่แล่นอยู่ใกล้แนวกึ่งกลางของแม่น้ำเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยและได้ใช้ความระมัดระวังแล้ว ฝ่ายโจทก์ทั้งสองประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวัง และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยโดยเรือโจทก์ทั้งสองเป็นเรือพ่วงหลายลำอยู่ในทางโค้งตามกระแสน้ำและอยู่ท้ายพ่วง ไม่จุดไฟสัญญาณและวิ่งตัดหน้าเรือของจำเลยทั้งสองโดยกระชั้นชิดโดยไม่ให้ไฟสัญญาณขณะจะเลี้ยวเข้าคลอง ท้ายเรือปัดขวางหน้าเรือจำเลยทั้งสอง ทำให้เรือของจำเลยทั้งสองซึ่งวิ่งตามกระแสน้ำไม่สามารถหยุดหรือหลบหลีกได้ทัน และนายเรือขณะนั้นไม่ใช่เป็นตัวแทนและลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งหรือในทางการที่จ้างของจำเลยทั้งสองขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าขณะเกิดเหตุเรือฝ่ายโจทก์ทั้งสองแล่นตัดแม่น้ำจากทางฝั่งขวาไปทางฝั่งซ้ายโดยไม่มีสัญญาณไฟ เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ แม้ว่าเหตุที่เรือชนกันจะเกิดจากการกระทำโดยประมาทของฝ่ายจำเลย เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย แต่ฝ่ายโจทก์ทั้งสองก็มีส่วนกระทำโดยประมาทก่อให้เกิดความเสียหายด้วยโดยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่านายท้ายเรือซึ่งเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างได้ขับเรือของจำเลยทั้งสองโดยประมาทชนเรือโจทก์จริงหรือไม่ ที่ศาลวินิจฉัยว่าเหตุละเมิดเกิดจากการกระทำโดยประมาทของฝ่ายโจทก์ด้วย เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากการที่ตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ไปในทางการที่จ้าง ซึ่งค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยจะต้องรับผิดใช้ให้แก่โจทก์มีมากน้อยเพียงใดก็ต้องพิจารณาว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไรด้วย ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223 ประกอบด้วยมาตรา 442 ในข้อนี้จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าเหตุที่เรือชนกันไม่ใช่เพราะความผิดของฝ่ายจำเลย แต่เป็นความผิดของฝ่ายโจทก์ การที่ศาลวินิจฉัยว่าเหตุละเมิดเกิดจากการกระทำโดยประมาทของฝ่ายโจทก์ด้วย จึงเป็นการวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่า จำเลยมิได้เป็นฝ่ายประมาทแต่โจทก์เป็นฝ่ายประมาท ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นดังที่โจทก์ทั้งสองฎีกา”
พิพากษายืน

Share