คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 488/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้เพียงว่าไร่ที่ปลูกกัญชาและพืชอื่น ๆ เป็นของนายจ้าง จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างที่ช่วย ทำไร่โดย โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยเกี่ยวข้องกับไร่กัญชาของนายจ้างอย่างไร ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเข้าทำงานเป็นลูกจ้างตั้งแต่ เมื่อใดและจำเลยได้ ช่วย ปลูกหรือช่วย ทนุ บำรุงกัญชาของกลางหรือไม่จึงไม่มีพฤติการณ์ส่อแสดงการร่วมกระทำผิดของจำเลย ประกอบกับในชั้นสอบสวน จำเลยให้การว่าเมื่อเริ่มเข้าทำงานเป็นลูกจ้างก็เห็นมีต้นกัญชาอยู่แล้ว แต่ จำเลยไม่ได้สนใจอย่างไร แสดงว่าจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับไร่กัญชาของนายจ้างคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นคำให้การรับสารภาพไม่อาจรับฟังประกอบพยานโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้ จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ ร่วมกับนายจ้างปลูกกัญชาของกลางและร่วมกันมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางที่ยึดได้ จากชื่อและครัวในขนำโดย นายจ้างเป็นเจ้าของขนำและได้ อยู่ อาศัยในขนำขณะที่เจ้าพนักงานเข้าตรวจ ค้นตาม ปกติทรัพย์สินในขนำควรจะเป็นของผู้เป็นนายจ้าง เว้นแต่โจทก์นำสืบได้ ว่าจำเลยซึ่ง เป็นลูกจ้างเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น ทางพิจารณาโจทก์คงมีแต่ บันทึกการจับกุมและคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ยืนยันว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของจำเลย จำเลยนำสืบปฏิเสธว่าจำเลยให้การรับสารภาพเพราะถูก ชกต่อยทำร้าย แม้จำเลยนำสืบลอย ๆ แต่ เมื่อถ้อยคำ ของ จำเลยตาม บันทึกการจับกุมไม่ตรง กับถ้อยคำ ของ จำเลยตาม คำเบิกความของพยานโจทก์ผู้ร่วมจับกุมจำเลยจึงเป็น เหตุน่าสงสัยว่าบันทึกการจับกุมและคำให้การชั้นสอบสวนได้ มีการบันทึกถูกต้อง ตรง กับความเป็นจริงหรือไม่เพราะทำขึ้นในคราวเดียว กัน คำให้การดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักที่จะนำมารับฟังประกอบพยานโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยในความผิดฐาน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯและพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ และริบอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และกัญชาของกลาง
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน แต่ให้ริบอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน และกัญชาของกลาง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดตามที่โจทก์ฟ้องและริบของกลาง
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ความผิดฐานร่วมกันผลิตกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษและมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้นพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่าเพียงไร่ที่ปลูกกัญชาและพืชอื่น ๆ เป็นของนายซ้ง จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างช่วยทำไร่ให้นายซ้งเท่านั้น โจทก์ไม่สามารถนำสืบให้เห็นว่า จำเลยเกี่ยวข้องกับไร่กัญชาของนายซ้งอย่างไร ต้นกัญชาของกลางเป็นต้นใหญ่มีอายุประมาณ 2-4 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของนายซ้งตั้งแต่เมื่อใด จำเลยได้ร่วมปลูกกัญชาของกลางหรือช่วยทนุบำรุงหรือไม่ จึงไม่อาจฟังได้ว่าต้นกัญชาเจริญงอกงามเพราะการทนุบำรุงของจำเลย ไม่มีพฤติการณ์ที่ว่าจำเลยได้ร่วมกับนายซ้งปลูกกัญชาของกลางและร่วมกันมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดทั้งสองฐานนี้โดยรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นคำให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจของจำเลยนั้น เห็นว่า ตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยมีสาระสำคัญว่า จำเลยรับจ้างทำงานถางหญ้าในไร่ของนายซ้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปลูกกัญชา เมื่อเริ่มเข้าทำงานก็เห็นมีต้นกัญชาอยู่แล้ว แต่จำเลยก็ไม่ได้สนใจอย่างไร แสดงว่าจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับไร่กัญชาของนายซ้ง หาใช่เป็นคำให้การรับสารภาพไม่ จึงไม่อาจรับฟังประกอบพยานโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษทั้งสองฐานตามที่โจทก์ฟ้อง…
ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ปรากฏว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางไม่ได้ยึดจากตัวจำเลยแต่ยึดได้จากขื่อและครัวในขนำ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายซ้งเป็นเจ้าของขนำและได้อยู่อาศัยในขนำขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้น จำเลยอยู่อาศัยในขนำในฐานะลูกจ้าง ตามปกติทรัพย์สินในขนำควรจะเป็นของนายซ้งผู้เป็นนายจ้าง เว้นแต่โจทก์นำสืบได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานใดว่าจำเลยเป็นเจ้าของหรือเกี่ยวข้องครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางแต่อย่างใด จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างทำไร่ได้รับค่าจ้างเล็กน้อย ไม่มีทรัพย์สินใดที่จำเลยต้องดูแลรักษา จึงไม่มีความจำเป็นที่จำเลยจะต้องมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง ทางพิจารณาโจทก์คงมีบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2และคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.10 ที่ยืนยันว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของจำเลย เพราะจำเลยให้การรับสารภาพตลอดมาตั้งแต่ขั้นจับกุมจนถึงขั้นสอบสวน แต่จำเลยนำสืบปฏิเสธว่าจำเลยให้การรับสารภาพ เพราะถูกชกต่อยทำร้ายจึงยินยอมลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าที่ยังไม่ได้กรอกข้อความแม้จำเลยนำสืบลอย ๆ แต่นายดาบตำรวจอัศวิน หนูแก้ว พยานโจทก์ผู้ร่วมจับกุมจำเลยเบิกความถึงเหตุการณ์ในวันจับกุมจำเลยว่า”สำหรับกัญชานั้น นายวิชัยจำเลยบอกว่าเป็นของนายซ้ง นายวิชัยเป็นคนรับจ้างถางหญ้าให้กับนายซ้ง” ตามคำเบิกความดังกล่าวทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าต้นกัญชาเป็นของนายซ้งไม่ใช่ของจำเลย แต่บันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.3กลับระบุว่า นายวิชัยผู้ต้องหาซึ่งเป็นจำเลยคดีนี้รับว่าได้ร่วมกับนายซ้ง แซ่ตั๊น ปลูกกัญชาไว้เพื่อจำหน่ายจริงเห็นได้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจบันทึกการจับกุมไม่ตรงกับถ้อยคำของจำเลย แต่จำเลยก็ได้ลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารหมาย จ.3 จึงมีเหตุน่าสงสัยว่าบันทึกการจับกุมและคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมายจ.2 และ จ.10 ตามลำดับได้มีการบันทึกถูกต้องตรงกับความเป็นจริงหรือไม่เพราะได้ทำขึ้นในคราวเดียวกัน คำให้การดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักที่จะนำมารับฟังประกอบพยานโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้ คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ตามที่โจทก์ฟ้อง…”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ของกลางคงให้ริบ.

Share