คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยได้ยักยอกสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป ต่อมาผู้เสียหายทำสัญญากับจำเลยโดยยอมรับบ้านจำเลยเป็นการตีใช้หนี้ค่าสร้อยคอทองคำดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการตกลงยอมความทั้งในทางอาญาและทางแพ่งแล้ว เมื่อคดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับ ไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 39(2).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำ 5 เส้น เป็นเงิน 25,000 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 จำคุก 5 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำ 5 เส้น เป็นเงิน 25,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาฟังได้เป็นยุติว่า ตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวหา จำเลยได้ครอบครองสร้อยคอทองคำจำนวน 5 เส้น ราคา 25,000 บาท ของผู้เสียหายต่อมาจำเลยได้เบียดบังยักยอกเอาสร้อยคอดังกล่าวนั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ผู้เสียหายเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ผู้เสียหายกับจำเลยเคยตกลงกันว่าจำเลยจะยกบ้านของจำเลยตีใช้หนี้ค่าสร้อยคอทองคำจำนวน 5 เส้น โดยให้ทนายความทำสัญญาให้ ในสัญญามีข้อความตามที่ตกลงกัน ภายหลังทำสัญญาแล้ว จำเลยไม่ยอมออกจากบ้านประกอบกับผู้เสียหายเห็นบ้านของจำเลยแล้ว จึงเปลี่ยนใจและฉีกสัญญาทิ้ง ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การที่ผู้เสียหายยอมรับเอาบ้านจำเลยเป็นการตีใช้หนี้และทำสัญญายอมความนั้น เป็นการยอมความที่ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อผู้เสียหายตกลงยอมความกับจำเลย โดยยอมรับเอาบ้านจำเลยเป็นการตีใช้หนี้ค่าสร้อยคอทองคำจำนวน 5 เส้น ถือได้ว่าเป็นการตกลงยอมความทั้งในทางอาญาและทางแพ่งแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน”.

Share