คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยให้การว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยมอบเป็นประกันการชำระหนี้แก่ จ. และได้ชำระหนี้เสร็จสิ้นกันไปแล้วจึงเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ และผู้ทรงคนก่อนลงวันที่ออกเช็คโดยไม่สุจริต ทำให้เช็คพิพาทเป็นเอกสารปลอมนั้น เป็นคำให้การต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับผู้ทรงคนก่อน ๆ โดยจำเลยมิได้อ้างว่าโจทก์กับผู้ทรงคนก่อนสมคบกันฉ้อฉลจำเลยแต่ประการใด ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดสาขาหลักสี่ 2 ฉบับ ฉบับแรก ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2529 สั่งจ่ายเงิน 400,000 บาท ฉบับที่สอง ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2529 สั่งจ่ายเงิน 200,000 บาท ชำระหนี้ให้แก่ผู้มีชื่อ ต่อมาผู้มีชื่อนำเช็คทั้งสองฉบับมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนดแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับ โจทก์จึงขอให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามเช็ครวมเป็นเงิน 600,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2529จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 59 วัน คิดเป็นดอกเบี้ย 7,273 บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันจากเงิน 600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การว่า จำเลยได้มอบเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่นางสาวจินตนา จารุวิจิตรรัตนา พี่สาวจำเลยไว้เป็นประกันเงินยืมระหว่างพี่น้องโดยมิได้ลงวันที่ออกเช็ค และมีข้อตกลงว่าจะไม่นำเช็คทั้งสองฉบับไปเบิกเงินจากธนาคาร จำเลยได้ชำระเงินยืมระหว่างพี่น้องโดยมิได้ลงวันที่ออกเช็ค และมีข้อตกลงว่าจะไม่นำเช็คทั้งสองฉบับไปเบิกเงินจากธนาคาร จำเลยได้ชำระเงินยืมให้แก่นางสาวจินตนาพี่สาวครบถ้วนแล้ว นางสาวจินตนาแจ้งว่าจะนำเช็คมาคืน แต่ได้ล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลแล้วถึงแก่กรรมเสียก่อนหลังจากนางสาวจินตนาถึงแก่กรรม จำเลยได้ติดตามขอเช็คคืนจากนางสาวธเนศรัตน์ องค์วัฒนะพัฒน์ ซึ่งอยู่บ้านเดียวกันกับนางสาวจินตนา และสอบถามนายปราโมทย์ จารุวิจิตรรัตนา ก็ได้รับแจ้งว่าเช็คหาย ซึ่งเชื่อว่ามีผู้ลักไป จำเลยจึงได้แจ้งธนาคารให้ระงับการจ่ายเงิน ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 607,273 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 600,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในปัญหาที่ว่าศาลล่างทั้งสองให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชอบหรือไม่นั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับนั้นจำเลยสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินตามเช็คแล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็คพิพาท คำให้การของจำเลยที่อ้างว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้เพราะจำเลยชำระหนี้ให้แก่นางสาวจินตนาจารุวิจิตรรัตนา พี่สาวจำเลยก็ดี ผู้ทรงคนก่อนลงวันออกเช็คพิพาทโดยไม่สุจริต ทำให้เช็คเป็นเอกสารปลอมก็ดี ล้วนแต่เป็นการให้การต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับผู้ทรงคนก่อน ๆ ทั้งสิ้น โดยจำเลยมิได้อ้างว่าโจทก์กับผู้ทรงคนก่อนสมคบกันฉ้อฉลจำเลยแต่ประการใดข้อต่อสู้ของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา916 ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานโจทก์จำเลย ศาลล่างทั้งสองให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share