คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2453/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาโอนสิทธิ์การเช่าตึกแถวซึ่งโจทก์ทำการก่อสร้างในที่ดินของผู้อื่นให้แก่จำเลย เพื่อเป็นค่าตอบแทน จำเลยยอมจ่ายเงินให้โจทก์จำนวนหนึ่งโดยจ่ายบางส่วนในวันทำสัญญา และในวันเข้าอยู่ในตึกแถว ส่วนที่เหลือตกลงแบ่งชำระกันเป็น 2 งวด งวดแรกชำระแล้ว คงค้างชำระงวดหลังซึ่งนานเกิน 5 ปีแล้ว ดังนี้ เงินตามสัญญาที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์นั้นเป็นค่าตอบแทนในการที่โจทก์ยอมตกลงทำสัญญาให้จำเลยได้รับโอนสิทธิ์การเช่าตึกแถวซึ่งตามปกติธรรมดาแล้วจำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ทั้งหมด แต่เพื่อผ่อนผันแบ่งเบาภาระให้จำเลย จึงได้ทำสัญญาเป็นแบ่งงวดชำระ จำนวนเงินดังกล่าวเป็นผลประโยชน์ที่โจทก์ควรจะได้รับจากการที่ยอมให้จำเลยเข้าทำสัญญาเช่าตึกแถว มิใช่เงินอันพึงส่งเพื่อผ่อนทุนคืนโดยตรงเป็นงวด ๆ และไม่ใช่การเรียกเอาเงินค้างจ่าย เช่น เงินปี เงินเดือนหรือเงินอื่น ๆ ที่เป็นทำนองเดียวกันที่มีกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา จึงไม่เป็นสิทธิ์เรียกร้องที่กำหนดอายุความไว้ 5 ปี ตามความในมาตรา 166 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สิทธิ์เรียกร้องของโจทก์เข้าลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เฉพาะเป็นอย่างอื่น จึงต้องใช้อายุความทั่วไปกำหนด 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือสัญญารับโอนสิทธิ์การเช่าตึกจากโจทก์จำเลยตกลงให้เงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแก่โจทก์ ๘๐,๐๐๐ บาท ชำระในวันทำสัญญา ๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยจะชำระอีก ๓๐,๐๐๐ บาท เมื่อจำเลยเข้าอยู่ในตึกแล้ว ส่วนเงินที่เหลือแบ่งชำระเป็นสองงวด งวดแรกชำระ ๒๐,๐๐๐ บาท งวดต่อไปชำระอีก ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีของเงินที่ค้างชำระ จำเลยได้ค้างชำระเงินงวดสุดท้าย ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย โจทก์ทวงถามจำเลยเพิกเฉย และค้างชำระดอกเบี้ยอีก ๗ เดือน โจทก์คิดเอาเพียง ๕ ปี เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญารับโอนสิทธิ์การเช่าตึกไว้กับโจทก์จริงดังฟ้อง โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบตึกให้จำเลยเข้าอยู่ได้ตามสัญญา จำเลยนำเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทงวดสุดท้ายไปชำระให้โจทก์หลายครั้ง โจทก์ไม่ยอมรับ คดีโจทก์ขาดอายุความแล้วเพราะโจทก์ไม่ใช้สิทธิ์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้เสียภายใน ๕ ปี โจทก์จึงหมดสิทธิ์ฟ้อง จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้หนี้ทั้งหมดให้แก่โจทก์ ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๒๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญากันไว้โดยโจทก์จัดการโอนสิทธิ์การเช่าตึกแถว ๒ คูหาให้แก่จำเลยเพื่อเป็นการตอบแทนการเช่าจำเลยยอมจ่ายเงินให้โจทก์ ๘๐,๐๐๐ บาท ได้ชำระในวันทำสัญญา ๑๐,๐๐๐ บาท เมื่อจำเลยเข้าอยู่ในตึกแถวแล้วได้ชำระให้โจทก์อีก ๓๐,๐๐๐ บาท ส่วนเงินที่เหลือแบ่งชำระเป็น ๒ งวด งวดละ ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยชำระเสร็จไปแล้ว ๑ งวด คงค้างชำระงวดสุดท้ายอยู่ ๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งนานเกินกว่า ๕ ปีแล้วนับจากวันครบกำหนดตามสัญญา ศาลฎีกาเห็นว่าเงิน ๘๐,๐๐๐ บาทตามสัญญาที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์นั้นเป็นค่าตอบแทนในการที่โจทก์ยอมตกลงทำสัญญาให้จำเลยได้รับโอนสิทธิ์การเช่าตึกแถวซึ่งตามปกติธรรมดาแล้วจำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ทั้งหมด แต่เพื่อผ่อนผันแบ่งเบาภาระให้แก่จำเลย จึงได้ทำสัญญาเป็นแบ่งงวดชำระดังที่ปรากฏตามสัญญา จำนวนเงินดังกล่าวเป็นผลประโยชน์ที่โจทก์ควรจะได้รับจากการที่ยอมให้จำเลยเข้าทำสัญญาเช่าตึกแถว มิใช่เงินอันพึงส่งเพื่อผ่อนทุนคืนโดยตรงเป็นงวด ๆ และไม่ใช่การเรียกเอาเงินค้างจ่าย เช่น เงินปี เงินเดือน หรือเงินอื่น ๆ ที่เป็นทำนองเดียวกันที่มีกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลาจึงไม่เป็นสิทธิ์เรียกร้องที่กำหนดอายุความไว้ ๕ ปี ตามความในมาตรา ๑๖๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สิทธิ์เรียกร้องของโจทก์เข้าลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เฉพาะเป็นอย่างอื่น จึงต้องใช้อายุความทั่วไปกำหนด ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔
พิพากษายืน.

Share