คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3532/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญารับจ้างเหมาปรับปรุงที่ดินกับจำเลยที่2 ตามสัญญากำหนดวิธีการถมให้โจทก์ปฏิบัติไว้ เมื่อโจทก์ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวแล้วเกิดขัดข้องไม่สามารถทำงานต่อไปได้ โจทก์เลือกทำงานต่อไปโดยวิธีการใหม่โดยไม่รอทำความตกลงกับจำเลยที่ 2 อันเป็นการทำงานเพิ่มเติมจากข้อกำหนดในสัญญา ซึ่งตามสัญญากำหนดไว้ว่าการเพิ่มเติมงาน จักต้องคิดและตกลงราคากันใหม่ ถ้าจักต้องเพิ่มค่าจ้างก็ต้องทำความตกลงกันเป็นหนังสือไว้ต่อกัน เมื่อโจทก์มิได้ตกลงกับจำเลยที่ 2 เป็นหนังสือ จึงนับว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ยังมิได้มีสัญญาต่อกันในส่วนที่โจทก์ทำงานเพิ่มเติมนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างเพิ่มเติมจากจำเลยที่ 2.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ประมูลปรับปรุงที่ดินตอกเข็ม และทำฐานรากอาคารแฟลตโครงการเคหะชุมชนดินแดง (ใหม่) ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 จากการเคหะแห่งชาติจำเลยที่ 2 และโจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาแล้วเสร็จภายในกำหนด โดยได้ส่งมอบงานและรับเงินจากจำเลยที่ 2 ครบถ้วนแล้ว ในระหว่างที่โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาคือถางป่า ขุดตอ วิธีการถมโจทก์ต้องสูบน้ำออกให้หมดแล้วดันขยะ เศษไม้ต้นไม้ วัชพืชต่าง ๆ ลงในสระให้หมด แล้วจึงถมทรายทับ แต่ปรากฏว่าเลนมีปริมาณมากลึกถึง 4-4.50 เมตร พื้นที่ถึง 2.3 ไร่ ไม่สามารถทำงานได้เพราะรถแทรกเตอร์ติดหล่ม จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้ขอร้องให้โจทก์ตักเลน ขนขยะ เศษไม้ และวัชพืชออกให้หมดและถมดินทราย โดยจำเลยที่ 1 รับว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบจัดการเรื่องเงินที่โจทก์จะต้องเพิ่มผลงานให้ โจทก์จึงปฏิบัติตามจนสำเร็จเรียบร้อย โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ออกหนังสือคำสั่งแก้ไขการปฏิบัติงานของโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่จัดการให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้บังคับบัญชาสั่งการให้จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 1 ดำเนินการด้วยตนเองได้ขอร้องให้โจทก์ปฏิบัติงานเพิ่มเติมพิเศษจนเป็นผลดีแก่จำเลยที่ 2 อย่างมาก โจทก์จึงขอให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินชดเชยเป็นเงิน 1,336,650 บาท คณะกรรมการส่วนใหญ่ของจำเลยที่ 2 เห็นว่าควรเพิ่มค่าจ้างให้โจทก์ แต่ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติในขณะนั้นมีคำสั่งไม่จ่ายเงินให้โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,535,907 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้น 1,336,650 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เสร็จสิ้นแล้ว และจำเลยที่ 2 ได้ชำระค่าจ้างตามสัญญาให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ 1 มิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่เคยแนะนำหรือขอร้องให้โจทก์ทำงานนอกเหนือสัญญาใด ๆ จำเลยที่ 1 ไม่เคยรับกับโจทก์ว่าจะจัดการเรื่องเงินที่โจทก์เพิ่มงานแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 เคยเสนอให้โจทก์หยุดงานเพื่อเจรจาตกลงกับจำเลยที่ 2 เป็นหนังสือ แต่โจทก์กลับเลือกทำการเอง จำเลยที่ 2 ก็ไม่เคยตกลงยินยอมหรือขอร้องให้โจทก์ปฏิบัติงานนอกเหนือสัญญา และงานที่โจทก์ทำก็เป็นงานที่โจทก์ต้องทำให้เสร็จตามสัญญามิได้พิเศษหรือเพิ่มเติมไปจากสัญญา โจทก์ใช้วิธีการตักเลนขนเศษไม้เศษวัสดุออกเพื่อให้ถมทรายและปรับดินได้สะดวกเท่านั้นโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินเพิ่มจากจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด โจทก์บรรยายฟ้องไว้ว่าการทำงานตักเลน ตักเศษไม้และวัสดุออกจากบริเวณที่โจทก์รับทำงานไม่มีในรายการประมูล จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีความประสงค์จะให้โจทก์ทำแต่ประการใด เมื่อโจทก์ทำเองโดยพลการ จำเลยที่2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ค่าใช้จ่ายที่โจทก์อ้างว่าต้องจ่ายเพิ่มความจริงเพิ่มเพียงสองถึงสามหมื่นบาทเท่านั้น ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 400,000บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 10 ธันวาคม2521 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว คู่ความนำสืบรับกันว่าโจทก์ทำสัญญารับจ้างเหมาปรับปรุงที่ดิน ตอกเข็ม และทำฐานรากอาคารแฟลตโครงการเคหะชุมชนดินแดง (ใหม่) ระยะที่ 2 ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1กับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.12 ระหว่างทำการปรับปรุงที่ดินโจทก์ได้ถางป่า ขุดตอและถมทรายแล้ว แต่เฉพาะตรงพื้นที่พิพาทประมาณ 2 ไร่ เมื่อเอารถแทรกเตอร์กดทับ รถจมในทรายต้องนำรถอื่นมาดึงขึ้น โจทก์จึงไปปรึกษากับผู้จัดการโครงการของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 แนะนำให้โจทก์ขุดรื้อสิ่งต่าง ๆ ขึ้นให้หมดแล้วเอาทรายใหม่มาถมลงให้เต็ม โจทก์ก็จัดการจนเสร็จเรียบร้อย โดยจำเลยที่ 2 มิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือให้โจทก์แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือทำการเพิ่มงานตามสัญญาข้อ 19 คงมีปัญหาในชั้นฎีกาว่า จำเลยที่ 2 จะต้องจ่ายเงินเพิ่มให้แก่โจทก์เพียงใดหรือไม่ เห็นว่า การทำการปรับปรุงที่ดินของโจทก์ตามสัญญานั้น โจทก์จะต้องดำเนินการตามรายการชี้แจงเพิ่มเติมรายละเอียดการปรับปรุงที่ดินเอกสารหมายจ.4 ข้อ 2 คือการถางป่า ขุดตอและวิธีการถม ผู้รับจ้างจะต้องสูบน้ำออกให้หมดแล้วดันขยะ เศษไม้ ต้นไม้ วัชพืชต่าง ๆ ภายในบริเวณโครงการเอาไปลงในสระให้หมดแล้วจึงถมทรายทับ ไม่มีรายการให้โจทก์ต้องขุดรื้อสิ่งต่าง ๆ ในสระขึ้นมาแล้วจึงถมทรายทีหลัง เมื่อโจทก์ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาแล้วเกิดขัดข้องทำงานต่อไปไม่ได้เพราะดินในสระอ่อนตัวทำให้รถแทรกเตอร์ที่ใช้กดทับทรายจม จำเลยที่1 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 2 จึงแนะนำให้ขุดรื้อสิ่งต่าง ๆในสระออกแล้วนำทรายใหม่มาถม แม้การทำงาน ดังกล่าวเป็นการเพิ่มเติมจากข้อกำหนดในสัญญา แต่ตามสัญญาข้อ 19 กำหนดไว้ว่า”ผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม หรือลดงานจากแบบแปลนและรายการก่อสร้างเดิมได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องเลิกสัญญานี้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมหรือลดงานดังกล่าวข้างต้น จักต้องคิดและตกลงราคากันใหม่ และถ้าจักต้องเพิ่มหรือลดเงินค่าจ้างหรือยืดเวลาทำการออกไปอีก ก็จักได้ทำความตกลงกัน ณบัดนั้น กรณีดังกล่าวให้ทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้ต่อกัน” เรื่องนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้ทำความตกลงกันใหม่เป็นหนังสือแต่อย่างใด การที่โจทก์ทำตามวิธีใหม่ก็เพียงแต่ทำตามคำแนะนำของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเพียงหัวหน้ากองก่อสร้างและบำรุงฝ่ายการวิจัยและก่อสร้างของจำเลยที่ 2 เท่านั้น มิใช่กรณีที่จำเลยที่ 2 สั่งการให้โจทก์ทำ เพราะจำเลยที่ 2 เป็นส่วนราชการ การตกลงเรื่องให้โจทก์ทำงานเพิ่มเติมนอกเหนือจากสัญญาต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้ต่อกัน ทั้งจำเลยที่ 1 เบิกความว่า เมื่อนายสุรศักดิ์กิติวิบูลย์ ผู้ควบคุมงาน ได้ทำบันทึกมาถึงกองก่อสร้างและบำรุงว่ามีอุปสรรคเกี่ยวกับการถมทรายเกิดขึ้นโจทก์จะขอค่าชดเชย จำเลยที่ 1ได้มีคำสั่งว่าให้โจทก์ระงับการทำงานไว้ก่อนเพื่อจะได้เสนอคณะกรรมการ ฯ พิจารณาต่อไป ดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.30 ต่อมานายสุรศักดิ์ได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวให้โจทก์ทราบ แต่โจทก์กลับไม่หยุดทำงานโดยได้แจ้งให้ผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัยและก่อสร้างทราบว่า จะเกิดปัญหาและความเสียหายต่อโจทก์และทางราชการหลายอย่างโจทก์เห็นว่าไม่สมควรหยุดงานและจะขอรับผิดชอบในกรณีที่ได้เกิดขึ้นดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.32 ดังนั้น การที่โจทก์เลือกทำงานต่อไปด้วยวิธีดังกล่าวโดยไม่รอทำความตกลงกับจำเลยที่ 2 จึงเป็นการดำเนินการของโจทก์เองโดยไม่รอทำความตกลงกับจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้ตกลงกับโจทก์ด้วยเป็นหนังสือตามสัญญาข้อ 19 ดังกล่าวจึงนับว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ยังมิได้มีสัญญาต่อกันในส่วนที่โจทก์ทำงานเพิ่มเติมนี้ ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา366 วรรคสอง นอกจากนี้ตามสัญญาข้อ 13 กำหนดไว้ว่า “…ถ้างานอันหนึ่งอันใดมิได้ระบุไว้ในแบบแปลนหรือรายการก่อสร้าง แต่ถ้าเป็นการจำเป็นต้องทำเพื่อให้งานแล้วเสร็จบริบูรณ์ถูกต้องตามแบบแปลนและรายการก่อสร้าง ผู้รับจ้างสัญญาว่าจะจัดการนั้น ๆ ให้โดยไม่คิดเอาเงินเพิ่มเติมอีกแต่อย่างหนึ่งอย่างใด” แม้วิธีการถมทรายตามที่โจทก์ทำเพิ่มเติมจะมิได้ระบุไว้ในแบบแปลนหรือรายการก่อสร้างแต่การดำเนินการดังกล่าวก็เพื่อให้งานแล้วเสร็จบริบูรณ์ถูกต้องตามแบบแปลนและรายการก่อสร้าง ถือเป็นความจำเป็นที่โจทก์จะต้องทำตามสัญญาข้อนี้อีกด้วย ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างเพิ่มเติมจากจำเลยที่ 2 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นส่วนฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 เสียด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share