คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2141/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอรับมรดกที่ดินมีโฉนดแล้วจำเลยทั้งสี่ให้ถ้อยคำและยืนยันรับรองบัญชีเครือญาติต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินที่สอบสวนที่ดินมรดกว่า ผู้ตายมีทายาทเพียง4 คน คือ จำเลยทั้งสี่ อันเป็นเท็จ ซึ่งความจริงจำเลยทั้งสี่ต่างทราบดีอยู่แล้วว่าผู้ตายยังมีบุตรสาวอีก 2 คนเป็นทายาทโดยธรรมเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 ตามคำขอของจำเลยทั้งสี่ ทำให้กรมที่ดินและบุตรสาวอีก2 คน ของผู้ตายเสียหาย จำเลยทั้งสี่ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และกรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จในวันที่กระทำความผิดนั้นเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 267, 83 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์โดยอธิบดีกรมอัยการรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 83 จำคุกคนละ 4 เดือนในขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 มีอายุน้อย ไม่ปรากฏว่าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน น่าเชื่อว่าได้กระทำตามคำชักนำของจำเลยที่ 1ผู้เป็นมารดาจึงเห็นสมควรให้โอกาสแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4กลับตนเป็นคนดีด้วยการรอการลงโทษ ให้รอการลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 คำขออื่นของโจทก์ให้ยก จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่า นางสาววรรณวิไล สิทธิไชย กับนางอมราเกตุจันทรา เป็นบุตรของนายแพทย์ประดิษฐ์ สิทธิไชย ที่เกิดจากนางอารมย์ สิทธิไชย ภริยาคนก่อน นางอารมณ์ถึงแก่กรรมก่อนแล้วนายแพทย์ประดิษฐ์จึงได้สมรสกับจำเลยที่ 1 และมีบุตรด้วยกัน3 คน คือ จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 นายแพทย์ประดิษฐ์ถึงแก่กรรมโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2524 เวลากลางวันจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาธนบุรี ขอรับทรัพย์มรดกของนายแพทย์ประดิษฐ์ผู้ตาย คือที่ดินโฉนดเลขที่ 4683 ตำบลบางพลัด อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ให้ถ้อยคำและยืนยันรับรองบัญชีเครือญาติต่อนางสาวภควดี สุทุมารพันธุ์ เจ้าหน้าที่สอบสวนที่ดินมรดกว่า ผู้ตายมีทายาทเพียง 4 คน คือจำเลยทั้งสี่ ตามแบบพิมพ์ท.ด.8 เอกสารหมาย จ.6 สำหรับจำเลยที่ 1 ได้ให้ถ้อยคำและรับรองบัญชีเครือญาติดังกล่าวต่อนางสาววันเพ็ญ จูวงศ์ เจ้าหน้าที่ที่ดิน 3ของสำนักงานที่ดินดังกล่าวตามแบบพิมพ์ ท.ด.16 เอกสารหมาย จ.7ซึ่งความจริงผู้ตายยังมีบุตรสาวอีก 2 คน เป็นทายาทโดยธรรมดังกล่าวข้างต้น เจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4683 ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตามคำขอของจำเลยทั้งสี่ปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 83หรือไม่ เกี่ยวกับข้อที่ว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้โดยไม่มีข้อโต้แย้งว่า บัญชีเครือญาติตามที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.6 พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นตามคำให้ถ้อยคำของจำเลยทั้งสี่ ซึ่งความจริงจำเลยทั้งสี่ต่างทราบดีอยู่แล้วว่านางสาววรรณพิไล และนางอมรา ต่างก็เป็นทายาทของผู้ตาย ดังนั้น ถ้อยคำที่จำเลยทั้งสี่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่บันทึกไว้จึงไม่ตรงกับความเป็นจริง และศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 รู้อยู่แล้วว่าผู้ตายมีทายาทอยู่ 6 คน แต่แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานว่ามีทายาทอยู่เพียง 4 คน และจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าบัญชีเครือญาติที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 แจ้งไว้นั้นไม่ตรงต่อความเป็นจริงข้อเท็จจริงจึงฟังได้เป็นยุติข้อแรกว่า จำเลยทั้งสี่ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานจริง คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวนั้นอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าผู้ตายมีทายาทโดยธรรมอยู่ 6 คน คือจำเลยทั้งสี่และนางสาววรรณพิไลกับนางอมรา ดังนั้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 4683 ย่อมเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายซึ่งตกได้แก่ทายาททั้งหกดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่รับมรดกจึงตกได้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 นางสาววรรณพิไล และนางอมราคนละส่วนเท่า ๆ กัน ข้อที่จำเลยทั้งสี่ต่อสู้ว่าการแจ้งชื่ออันเป็นเท็จเป็นการกระทำโดยสุจริตโดยขอรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อเป็นความสะดวกในการจัดการทรัพย์สินนั้น เห็นว่า หากจำเลยทั้งสี่กระทำการโดยสุจริตเพื่อจัดการนำทรัพย์สินมาแบ่งให้แก่ทายาททุกคนหรือเพื่อความสะดวกในการจัดการทรัพย์สินเกี่ยวกับที่ดินมรดกแปลงนี้ จำเลยทั้งสี่ชอบที่จะยื่นคำร้องขอรับมรดกที่ดินดังกล่าวโดยระบุชื่อนางสาววรรณพิไลและนางอมราเป็นทายาทด้วยหรือแจ้งให้บุคคลทั้งสองมารับโอนกรรมสิทธิ์พร้อมกัน แต่จำเลยทั้งสี่กลับให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่าผู้ตายมีทายาทเพียง4 คน การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงส่อแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาปิดบังอำพรางเพื่อที่จะเอาไว้ซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของตนแต่ฝ่ายเดียวโดยทุจริต และการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานดังกล่าวนั้น เป็นเหตุให้กรมที่ดินโดยสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาธนบุรี หลงเชื่อ จึงได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายมรดกได้รับความเสียหาย อาจถูกนางสาววรรณพิไลและนางอมราซึ่งเป็นทายาทอีก 2 คนของผู้ตายฟ้องร้องเอาได้ สำหรับความเสียหายที่เกิดแก่นางสาววรรณพิไลและนางอมรานั้น ย่อมเป็นเหตุให้บุคคลทั้งสองไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินมรดกตามส่วนของตน การกระทำของจำเลยทั้งสี่ทำให้กรมที่ดิน นางสาววรรณพิไล และนางอมราเสียหายซึ่งกรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จในวันที่กระทำความผิดนั้นเองดังนั้น จำเลยทั้งสี่ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา137, 83 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยทั้งสี่ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ดีเมื่อได้คำนึงถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และสภาพความผิดโดยตลอดแล้วเห็นว่าการที่ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายตามเอกสารหมาย ล.5 โดยกล่าวในคำร้องว่านางสาววรรณพิไลและนางอมรา เป็นบุตรของผู้ตายอันเกิดจากนางอารมย์ภริยาเดิมของผู้ตายตามบัญชีเครือญาติท้ายคำร้องและยังได้ระบุที่ดินโฉนดเลขที่ 4683 เป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์มรดกด้วย เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้แสดงเจตนายอมรับแล้วว่านางสาววรรณพิไลและนางอมราเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายด้วยถือได้ว่าเป็นเหตุอันควรปรานี และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ศาลฎีกาเห็นสมควรให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 2 ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share