คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1312/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ และจำเลยได้ทราบประกาศกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้ว ดังนี้ โจทก์ได้ระบุมาในฟ้องแล้วว่าสถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองนั้นอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดแล้ว ส่วนที่โจทก์มิได้แนบสำเนาประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้มาพร้อมฟ้อง ก็ไม่ใช่สาระสำคัญอันจะทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ สำหรับสถานที่ซึ่งอ้างว่าจำเลยกระทำผิดอยู่ภายในเขตควบคุมหรือไม่ ก็เป็นเพียงประเด็นข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ ทั้งโจทก์บรรยายด้วยว่าประกาศดังกล่าวกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัด คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5).(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีไม้สักแปรรูปจำนวน 2,748 แผ่น/เหลี่ยมปริมาตร 7.85 ลูกบาศก์เมตรซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไว้ในความครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 7, 48, 73, 74, 74 จัตวา ประกาศกระทรวงเกษตร เรื่องกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2499 ริบไม้สักแปรรูปของกลาง และสั่งจ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48, 73, 74, 74 จัตวา ประกาศกระทรวงเกษตรเรื่อง กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2499จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ริบของกลาง คำขอจ่ายสินบนให้ยกเสียเพราะศาลมิได้ลงโทษปรับจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษให้จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(5) เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้แจ้งชัดว่าตำบลพรานกระต่ายอำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร อยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามประกาศกระทรวงเกษตร เรื่อง กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ และไม่แนบสำเนาประกาศดังกล่าวมาท้ายคำฟ้องนั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยบังอาจมีไม้สักแปรรูปจำนวน 2,748 แผ่น/เหลี่ยม ปริมาตร 7.85 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไว้ในความครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้และจำเลยได้ทราบประกาศกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้วดังนี้เห็นว่าโจทก์ได้ระบุมาในฟ้องแล้วว่าสถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองนั้นอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดแล้ว ส่วนปัญหาที่ว่าโจทก์มิได้แนบสำเนาประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้มาพร้อมฟ้องนั้นก็ไม่ใช่สาระสำคัญอันจะทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์เพราะโจทก์ได้บรรยายมาในฟ้องว่าจำเลยได้ทราบประกาศฉบับนี้แล้วโดยทางราชการได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เจ้าพนักงานได้คัดสำเนาปิดเปิดเผยไว้ ณ ที่ทำการกำนัน ที่ว่าการอำเภอและที่สาธารณสถานในท้องที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว สำหรับสถานที่ซึ่งอ้างว่าจำเลยกระทำผิดอยู่ภายในเขตควบคุมหรือไม่ ก็เป็นเพียงประเด็นข้อเท็จจริงที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ นอกจากนี้โจทก์บรรยายด้วยว่าประกาศดังกล่าวกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือความผิดตามที่โจทก์ฟ้องไม่ว่าจะกระทำลงในท้องที่ใดภายในราชอาณาจักรย่อมถือว่าเป็นความผิดทั้งสิ้นคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)…แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 73 โดยไม่ได้ระบุว่าวรรคใดนั้น เห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73 วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share