แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้ครอบครองห้องพิพาทอยู่ก่อนที่โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าจากเจ้าของเดิม เมื่อจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าครอบครองกรณีต้องด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 477,549 ซึ่งถ้าโจทก์ไม่ขอให้ศาลเรียกเจ้าของเดิมเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยโดยลำพังได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยอาศัยส่วนหนึ่งของตึก ซึ่งเป็นตึกที่โจทก์เช่ามาจากกองศาสนสมบัติกระทรวงวัฒนธรรม โจทก์จำเป็นต้องใช้ห้องที่จำเลยอาศัยอยู่ ขอให้ขับไล่จำเลยออกไป
จำเลยให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้อาศัยจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1เช่าอยู่เฉพาะชั้นบนจากนายม้วน ส่วนชั้นล่างนายหยุงเคี้ยงเช่าจากนายม้วนซึ่งโจทก์อาศัยอยู่ ต่อมานายม้วนโอนตึกให้นายสมบูรณ์จำเลยที่ 1 ได้เช่าตึกชั้นบนและชำระค่าเช่าให้แก่นายสมบูรณ์ต่อมานายสมบูรณ์บอกว่าได้โอนตึกให้แก่โจทก์ ๆ ไม่ยอมให้จำเลยอยู่จำเลยเป็นผู้เช่าอยู่ก่อนโจทก์และได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ ไม่ได้อาศัยโจทก์ จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ห้องพิพาทเป็นห้อง 2 ชั้น จำเลยอยู่ชั้นบน โจทก์อยู่ชั้นล่าง ชั้นแรกเช่าจากนายม้วน โดยนายม้วนเช่าจากกรมการศาสนา ต่อมานายม้วนโอนสิทธิการเช่าให้นายสมบูรณ์ คงมีการเช่าจากนายสมบูรณ์อยู่กันมา ต่อมาโจทก์ไปทำสัญญาเช่าห้องพิพาททั้งชั้นบนและชั้นล่างโดยตรงจากกรมการศาสนา ดังนี้ เห็นว่าโจทก์ยังไม่ได้ครอบครองตึกพิพาทชั้นบน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยได้ครอบครองห้องพิพาทชั้นบนอยู่ก่อนที่โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าจากกรมการศาสนาโดยมิได้อาศัยอำนาจของโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าครอบครองห้องพิพาท กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 477, 549โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยโดยลำพัง พิพากษายืน