คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งต่อมาได้มี ส.ป.และศ. ยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดินทับที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์ต่อจำเลยในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด โจทก์คัดค้าน ในที่สุดจำเลยได้มีคำสั่งให้ออกโฉนดที่ดินให้แก่บุคคลทั้งสาม คำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ดังนี้คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการฟ้องโดยอ้างมูลละเมิดเป็นหลักแห่งข้อหา โดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีคำสั่งโดยไม่สุจริต ทั้งตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้ความว่าจำเลยมีคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร คำสั่งของจำเลยฝ่าฝืนต่อกฎหมายใด จึงถือไม่ได้ว่าคำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นการละเมิดและโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า 1 แปลง เนื้อที่ 20 ไร่เศษ ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านหนองรังกาตำบลโคกกรวด อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา มีอาณาเขตทิศเหนือจดอ่างเก็บน้ำ ยาว 5 เส้น 5 วา ทิศใต้จดที่ดินผู้มีชื่อยาว 6 เส้น 16 วา ทิศตะวันออกจดอ่างเก็บน้ำยาว 1 เส้นทิศตะวันตกยาว 3 เส้น จดทางสาธารณะ โจทก์ทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์โดยสงบเปิดเผยเพื่อตนติดต่อกันมาเป็นเวลา 20 ปีเศษไม่มีผู้ใดเข้าเกี่ยวข้อง ปรากฎตามหลักฐานและคำพิพากษาของศาลซึ่งโจทก์จะได้แสดงต่อศาลในชั้นพิจารณา เมื่อ พ.ศ. 2529 ได้มีนายสุรศักดิ์ บุณยะประภัศร นางประดับ คชรัตน์ และนายศิริพันธ์จาตุรงคกุล ยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดินทับที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์ต่อจำเลยในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา โจทก์ได้คัดค้าน ในที่สุดจำเลยได้มีคำสั่งให้ออกโฉนดที่ดิน ให้แก่นายสุรศักดิ์ บุณยะประภัศร นางประดับ คชรัตน์ และนายศิริพันธ์จาตุรงคกุล หากโจทก์ไม่พอใจให้ยื่นฟ้องต่อศาลภายใน 60 วัน ปรากฏตามคำสั่งลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2529 เอกสารท้ายฟ้องหมาย 2 และตามหนังสือของจำเลยถึงโจทก์ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2529 ตามเอกสารท้ายฟ้องหมาย 3 คำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการละเมิดสิทธิโจทก์เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ จึงขอให้พิพากษายกเลิกเพิกถอนคำสั่ง ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2529 และห้ามมิให้จำเลยออกโฉนดให้แก่นายสุรศักดิ์ บุณยะประภัศร นางประดับ คชรัตน์และนายศิริพันธ์ จาตุรงคกุล
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องโจทก์แล้วมีคำพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อจำเลยมีคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่สุจริต โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยได้นั้น ศาลฎีกาได้พิจารณาคำฟ้องโดยตลอดแล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า คำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ จึงเป็นการฟ้องโดยอ้างมูลละเมิดเป็นหลักแห่งข้อหา แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีคำสั่งโดยไม่สุจริตทั้งตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้ความว่าจำเลยมีคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร คำสั่งของจำเลยฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายใดจึงถือไม่ได้ว่าคำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลยตามคำฟ้องจึงไม่เป็นการละเมิดและโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share