คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1030/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีที่กระทรวงการคลังและการสื่อสารแห่งประเทศไทยฟ้องโจทก์กับพวก ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้กระทำละเมิดต่อกระทรวงการคลังและการสื่อสารแห่งประเทศไทย โดยร่วมกับ ส.จงใจเบียดบังเงินค่าภาษีอากรเงินรายได้อื่นและเงินทุนไปรษณีย์ตามฟ้อง แต่คดีนี้มีประเด็นที่พิพาทกันว่าโจทก์ละเว้นปฏิบัติการตามหน้าที่โดยไม่ตรวจตราควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงานเป็นเหตุให้ ส. เบียดบังเอาเงินดังกล่าวไปหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นนี้ให้ในคดีก่อน จึงหามีข้อเท็จจริงในคดีก่อนมาผูกพันคดีนี้ที่โจทก์จะไม่ต้องรับผิดใช้เงินคืนดังที่โจทก์อ้างไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินสะสม พร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นตามระเบียบการหักเงินเดือนไว้เป็นเงินสะสมและพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2518 มาตรา 26 จำนวน 35,011.36 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์ได้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยไม่ตรวจสอบควบคุมดูแลว่า เมื่อนายสุมิตร ชาสมบัติซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ และมีหน้าที่ช่วยทำงานในตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์และปฏิบัติหน้าที่แทนโจทก์ขณะโจทก์ไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ได้รับเงินทุนไปรษณีย์ไว้จากนายไปรษณีย์โทรเลขอำเภอคอนสาร และได้รับเงินค่าภาษีอากรและเงินรายได้อื่นของรัฐจากผู้ที่นำมาชำระหลายครั้งรวมเป็นเงิน79,351.15 บาทแล้ว นายสุมิตร ได้ลงบัญชีและนำเงินเก็บรักษาไว้ในกำปั่นของอำเภอถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ เป็นเหตุให้นายสุมิตรเบียดบังเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ของตนหรือผู้อื่นการที่โจทก์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเป็นการทำละเมิดทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โจทก์ต้องร่วมรับผิดชดใช้เงินดังกล่าวซึ่งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่ง พิจารณาแล้วเห็นควรให้โจทก์รับผิดชดใช้เงินจำนวน 19,865.28 บาท โจทก์ได้ถูกไล่ออกจากราชการ จึงได้ดำเนินการเบิกเงินสะสมของโจทก์จากคลังจังหวัดภูเขียวไปหักใช้หนี้ที่โจทก์ต้องรับผิด ส่วนเงินที่เหลือได้นำส่งคืนคลังเนื่องจากโจทก์ไม่ไปรับตามกำหนดที่แจ้งให้ทราบ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินสะสมทั้งหมดคืนจากจำเลยขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาในข้อกฎหมายเป็นประการแรกว่าจำเลยนำสืบว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ราชการจำต้องชดใช้เงินจำนวนที่ขาดหายไปในหน้าที่ของโจทก์ เป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ศาลชั้นต้นยกเหตุดังกล่าวที่ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ราชการมาเป็นข้อวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยชดใช้เงินสะสมของโจทก์คืนจำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยไม่ตรวจสอบควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงาน เป็นเหตุให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเบียดบังเอาเงินค่าภาษีอากรและเงินรายได้อื่นของรัฐที่มีผู้นำมาชำระไป เป็นการทำละเมิดทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โจทก์ต้องร่วมรับผิดชดใช้เงินดังกล่าว ซึ่งศาลชั้นต้นได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยมีสิทธิเบิกเงินสะสมของโจทก์เพื่อชดใช้เงินของทางราชการที่ขาดหายไปหรือไม่ ดังนั้นในการวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ก็ต้องฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้กระทำการอันเป็นการทำละเมิดตามที่จำเลยให้การต่อสู้หรือไม่ การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่หรือนำสืบว่าโจทก์ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่ตรวจสอบควบคุมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นการทำละเมิด โจทก์ต้องรับผิดชดใช้เงินดังกล่าวซึ่งจำเลยมีสิทธิเบิกเงินสะสมของโจทก์เพื่อชดใช้เงินของทางราชการที่ขาดหายไปเป็นการนำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลย ไม่เป็นการนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าวและศาลชั้นต้นยกเหตุตามที่จำเลยนำสืบต่อสู้มาเป็นข้อวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ได้หาเป็นการมิชอบดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า เกี่ยวกับเงินทุนไปรษณีย์และเงินรายได้อื่นที่ขาดหายไปที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้นั้น กระทรวงการคลังและการสื่อสารแห่งประเทศไทยได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ นายสุมิตร ชาสมบัตินายธวัช ปรีดีสนิท และนายประโยชน์ ชูเกียรติ เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งมาแล้ว ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ทำละเมิดไม่ต้องร่วมรับผิดใช้เงินแก่กระทรวงการคลังและการสื่อสารแห่งประเทศไทยคดีถึงที่สุดแล้วโดยศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน คำพิพากษาดังกล่าวผูกพันโจทก์ที่จะไม่ต้องรับผิดใช้เงินคืน พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีที่กระทรวงการคลังและการสื่อสารแห่งประเทศไทยฟ้องโจทก์กับพวกนั้นศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้กระทำละเมิดต่อกระทรวงการคลังและการสื่อสารแห่งประเทศไทย โดยร่วมกับนายสุมิตรจงใจเบียดบังเงินค่าภาษีอากร เงินรายได้อื่นและเงินทุนไปรษณีย์ตามฟ้อง แต่คดีนี้มีประเด็นที่พิพาทกันว่าโจทก์ละเว้นปฏิบัติการตามหน้าที่โดยไม่ตรวจตราควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงาน เป็นเหตุให้นายสุมิตรเบียดบังเอาเงินดังกล่าวไปหรือไม่ซึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นนี้ให้ในคดีก่อน จึงหามีข้อเท็จจริงในคดีก่อนมาผูกพันคดีนี้ที่โจทก์จะไม่ต้องรับผิดใช้เงินคืนดังที่โจทก์อ้างไม่ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share