คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การเรียกค่าทดแทนเนื่องจากผิดสัญญาหรือข้อตกลงเกี่ยวกับการสมรสนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439 บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้เรียกได้เฉพาะกรณีที่มีการหมั้นเท่านั้น เมื่อโจทก์จำเลยตกลงจะสมรสกันโดยไม่มีการหมั้น จึงนอกขอบเขตที่กฎหมายรับรอง แม้จำเลยไม่ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ โจทก์ก็เรียกค่าทดแทนไม่ได้ การที่โจทก์ต้องใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส ต้องเสียพรหมจารีให้แก่จำเลย และอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับจำเลย โดยจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ เกิดจากความสมัครใจของโจทก์ไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ คำฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์ยินยอมสมรสกับจำเลย จำเลยให้โจทก์เป็นฝ่ายเตรียมจัดพิธีมงคลสมรสแต่ฝ่ายเดียว และจำเลยได้มอบเงินช่วยเหลือในการเตรียมจัดงานสมรสเป็นเงิน 11,000 บาท ที่โจทก์ฎีกาว่า เงินจำนวน 11,000 บาท ที่จำเลยมอบให้ฝ่ายหญิงเป็นของหมั้นนั้น คำฟ้องเดิมกับฎีกาโจทก์ขัดแย้งกัน ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงเป็นเรื่องนอกประเด็น และไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยตกลงจะทำการสมรสกันและกำหนดวันประกอบพิธีมงคลสมรสและจดทะเบียนสมรสไว้ โดยจำเลยตกลงให้โจทก์เป็นฝ่ายเตรียมจัดพิธีมงคลสมรสแต่ฝ่ายเดียว และมอบเงินช่วยเหลือในการเตรียมการสมรสเป็นเงิน 11,000 บาท โจทก์จัดงานมงคลสมรสสิ้นค่าใช้จ่ายไป 90,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยปฏิเสธไม่ยอมอยู่กินกับโจทก์ฉันสามีภริยาและไม่ยอมจดทะเบียนสมรส ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายรวม 490,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยจำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย เพราะการตกลงสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่มีการหมั้น โจทก์สมัครใจอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ยินยอมสมรสกับจำเลย จำเลยให้โจทก์เป็นฝ่ายเตรียมจัดพิธีมงคลสมรสแต่ฝ่ายเดียว และจำเลยได้มอบเงินช่วยเหลือในการเตรียมจัดงานสมรสเป็นเงิน 11,000 บาทโจทก์และครอบครัวจึงได้เตรียมจัดพิธีมงคลสมรสขึ้น ในการเตรียมการสมรสฝ่ายโจทก์ได้เสียค่าใช้จ่ายในการจัดเลี้ยงเชิญแขกผู้มีเกียรติ ค่าอาหารสำหรับเลี้ยงแขกในวันสมรสค่าของชำร่วยค่าใช้จ่ายของโจทก์เกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย เครื่องตกแต่งและค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 90,000 บาท ที่โจทก์ฎีกาว่า เงินจำนวน 11,000 บาท ที่จำเลยมอบให้ฝ่ายหญิงเป็นของหมั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องเดิมกับฎีกาของโจทก์ขัดแย้งกันฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงเป็นเรื่องนอกประเด็นและไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ปรากฏตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยว่า โจทก์กับจำเลยร่วมกันจัดพิธีมงคลสมรสขึ้นเสร็จพิธีแล้วจำเลยพาโจทก์ไปอยู่บ้านของจำเลยฉันสามีภริยาและจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ คดีจึงฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงจะสมรสกันโดยไม่มีการหมั้น เห็นว่า การเรียกค่าทดแทนเนื่องจากผิดสัญญาหรือข้อตกลงเกี่ยวกับการสมรสนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ได้ บัญญัติไว้เป็นพิเศษตามมาตรา 1439 ว่า “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่มีของหมั้นถ้าฝ่ายชายผิดสัญญาหมั้นให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง ถ้าฝ่ายหญิงผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชาย” และไม่มีบทมาตราใดบัญญัติว่า ในกรณีที่ไม่มีการหมั้น หากฝ่ายใดผิดสัญญาจะสมรสให้ฝ่ายนั้นรับผิดใช้ค่าทดแทนอย่างเช่นกรณีที่มีการหมั้นดังนั้น การตกลงกันว่าจะสมรสหรือจดทะเบียนสมรสโดยไม่มีการหมั้น จึงนอกขอบเขตที่กฎหมายรับรอง เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ โจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกค่าทดแทนจากจำเลย ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1971/2517 ระหว่าง นางลาน ตระกูลศิริ โจทก์นายบุญสาย ยอดเซียน จำเลย ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่ 1198/2492 และคำพิพากษาฎีกาที่ 700/2498 ที่โจทก์ยกขึ้นอ้างอิง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ การที่โจทก์ต้องใช้จ่ายในการเตรียมการสมรสโจทก์ต้องเสียพรหมจารีให้แก่จำเลยและอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับจำเลยโดยจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ เกิดจากความสมัครใจของโจทก์ ไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share