คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายเครื่องปรับอากาศที่กำหนดให้โจทก์ผู้ซื้อตระเตรียมสถานที่สำหรับการติดตั้งเดินสายไฟฟ้า และติดสวิตช์สำหรับเครื่องปรับอากาศให้แก่จำเลยผู้ขาย ย่อมเป็นสัญญาที่ถือเอากำหนดเวลาและวิธีการส่งมอบเป็นข้อสาระสำคัญ เมื่อถือกำหนดส่งมอบตามสัญญา โจทก์ไม่มีโรงแรมให้จำเลยเข้าติดตั้งส่งมอบเครื่องปรับอากาศ เป็นกรณีที่โจทก์ละเลยไม่รับชำระหนี้จากจำเลย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 และมีสิทธิริบเงินมัดจำตามมาตรา 378(2).(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2521 โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อเครื่องปรับอากาศยี่ห้อเฟดเดอร์จากจำเลย จำนวน 120เครื่องเป็นเงิน 1,260,000 บาท โจทก์วางมัดจำในวันทำสัญญา 126,000บาท โดยจำเลยจะส่งมอบเครื่องปรับอากาศแก่โจทก์ภายในวันที่ 31สิงหาคม 2522 จำนวน 60 เครื่อง และภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2522อีกจำนวน 60 เครื่อง แต่จำเลยไม่จัดการตามกำหนด จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงิน 126,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทำสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยขายเครื่องปรับอากาศแก่โจทก์ตามฟ้องโดยมีข้อตกลงว่าต้องนำไปติดตั้งที่โรงแรมของโจทก์ โจทก์มีหน้าที่ต้องเตรียมสถานที่ ติดตั้งเดินสายไฟฟ้าและสวิตช์ไฟฟ้าสำหรับเครื่องปรับอากาศให้พร้อม ตามสัญญาข้อ 5 เมื่อถึงกำหนด จำเลยพร้อมที่จะส่งมอบ แต่โจทก์ยังก่อสร้างโรงแรมไม่เสร็จ และไม่สามารถเตรียมสถานที่ติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามสัญญา โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาภายหลังจากครบกำหนดเวลาส่งมอบเกือบ 5 ปี โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืน คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 126,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 12 เมษายน 2526 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาว่ามีการเลิกสัญญาซื้อขายเครื่องปรับอากาศตามฟ้อง เพราะความผิดของโจทก์อันเป็นเหตุให้จำเลยริบมัดจำแล้วหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความจากโจทก์เองว่าโจทก์สร้างโรงแรมขึ้น 2 โรงที่ด้านขวาและด้านซ้ายของสถานีรถไฟนครศรีธรรมราช โรงแรมด้านขวาสร้างเมื่อ พ.ศ. 2521และให้นายเสรี พัวพันธ์ เช่าไปดำเนินกิจการและติดตั้งเครื่องปรับอากาศเองตั้งแต่เดือนเมษายน 2522 ส่วนโรงแรมด้านซ้ายสร้างเมื่อพ.ศ. 2523 เสร็จเมื่อ พ.ศ. 2526 แล้วให้ผู้อื่นเช่าไปดำเนินกิจการเช่นเดียวกัน แต่ตามสัญญาที่โจทก์ซื้อเครื่องปรับอากาศจากจำเลยเอกสารหมาย จ.1 ระบุในข้อ 4 ให้ผู้ขายส่งมอบเครื่องปรับอากาศแก่ผู้ซื้อภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2522 และวันที่ 31 ธันวาคม 2522งวดละ 60 เครื่อง ระบุในข้อ 5 กับในหมายเหตุท้ายสัญญาว่าให้ผู้ขายนำเครื่องปรับอากาศไปติดตั้งให้แก่ผู้ซื้อโดยผู้ซื้อต้องเป็นผู้ชำระค่าขนส่งและต้องเตรียมช่องสำหรับติดตั้งเครื่องปรับอากาศเดินสายไฟฟ้า ติดสวิตช์สำหรับเครื่องปรับอากาศให้แก่ผู้ขายที่โรงแรมที่โจทก์สร้างขึ้นโดยเรียบร้อยครบถ้วน ดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าคู่สัญญาถือเอากำหนดเวลาและวิธีการส่งมอบเป็นข้อสาระสำคัญ เมื่อถึงกำหนดส่งมอบเครื่องปรับอากาศตามสัญญาแล้วโจทก์ไม่มีโรงแรมให้จำเลยเข้าติดตั้งส่งมอบเนื่องจากโรงแรมหนึ่งโจทก์ให้นายเสรีเช่าไปก่อนแล้ว ส่วนอีกโรงแรมหนึ่งก็ยังไม่ได้สร้าง เป็นการละเลยไม่รับชำระหนี้จากจำเลย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388และมีสิทธิริบเงินมัดจำตามมาตรา 378 (2) ไม่ต้องคืนเงินมัดจำให้โจทก์ดังฟ้อง ที่โจทก์อ้างว่านายไพบูลย์ อร่ามกุล ตัวแทนจำเลยขอเลื่อนการส่งมอบงวดแรกไปส่งมอบพร้อมงวดหลัง แล้วไม่จัดการให้เป็นการเลื่อนเวลาไปโดยไม่มีกำหนด นั้น เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ไม่น่าเชื่อ ตรงกันข้าม จำเลยมีนายมานิตย์เรืองธีระพันธ์ ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยและนายบุญตัก อุดมภาสกรผู้จัดการฝ่ายขายทั่วไปและเป็นผู้ลงชื่อแทนจำเลยในสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 มาเบิกความยืนยัน ตรงกันว่าจำเลยได้ติดต่อขอส่งมอบเครื่องปรับอากาศกับโจทก์ตามสัญญาทุกงวด แต่โจทก์ไม่พร้อมจะรับจำเลยจึงเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำแล้ว ประกอบกับจำเลยเป็นเจ้าของสินค้าย่อมอยากขายเป็นธรรมดาเพราะต้องลงทุนไว้มาก หากขายได้อาจจะมีกำไรยิ่งกว่าริบมัดจำ ทั้งจำเลยก็พร้อมจะส่งมอบ ดังจะเห็นได้จากการที่จำเลยสามารถขายเครื่องปรับอากาศขนาดและชนิดเดียวกันนี้ให้นายเสรี พัวพันธ์ ในเดือนกันยายน 2522 ปรากฏตามคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 7489/2524 พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักและเหตุผลยิ่งกว่าของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share