คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3875/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ร. ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้ขายกับจำเลยที่ 2 ผู้ซื้อโดยอ้างว่าที่ดินเป็นทรัพย์มรดกของ ร. กึ่งหนึ่งจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ร. ร่วมกับโจทก์ให้การต่อสู้ว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 1ได้ครอบครองมาโดยตลอด หากฟังว่าที่ดินเป็นมรดกของ ร. สิทธิของทายาท ร. ก็ขาดอายุความแล้ว การโต้แย้งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมิได้กระทำในฐานะผู้จัดการมรดกของ ร. แต่เป็นการโต้แย้งโดยอ้างอำนาจของตนเอง จึงมิใช่เป็นการทำตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกของร.กรณีมิใช่เป็นเรื่องความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการจัดการมรดกของร. ซึ่งต้องถือเอาเสียงข้างมากของผู้จัดการมรดก ถ้าเสียงเท่ากันเมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอก็ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 ทั้งระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 1 ก็ได้ถูกถอนออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของ ร.แล้ว โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ร. ที่เหลืออยู่แต่ผู้เดียวย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ตามสิทธิและหน้าที่ของผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยให้เหตุผลว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อพิพาทข้ออื่น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์อุทธรณ์ฎีกาเพียงให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามลำดับ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เป็นฝ่ายชนะคดี คำขอตามคำฟ้องอุทธรณ์และคำฟ้องฎีกา จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาทตามตาราง 1 ข้อ (2)(ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางรวง ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ยื่นโฉนดเลขที่ 614 พร้อมด้วยห้องแถว เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับนางรวง เป็นส่วนของนางรวงที่ตกเป็นมรดกกึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2โดยไม่มีอำนาจ ขอให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินให้โจทก์ครึ่งหนึ่งจำเลยให้การว่าที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1 ผู้เดียวจำเลยที่ 2รับซื้อไว้โดยสุจริต หากเป็นทรัพย์มรดก จำเลยที่ 1 ก็ครอบครองจนสิทธิของทายาทอื่นขาดอายุความแล้ว และเมื่อโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ผู้เดียวไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางรวง มีบุตรด้วยกัน8 คน โจทก์เป็นคนที่ 6 นางรวงถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม2523 โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางรวงร่วมกัน โดยคำสั่งศาลตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2526เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2526 จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมขายที่ดินตามฟ้องให้จำเลยที่ 2 โจทก์ฎีกาเป็นใจความว่า จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว มิได้เป็นทรัพย์มรดกของนางรวงกึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 หาได้โต้แย้งโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกร่วมไม่ แต่เป็นการโต้แย้งในฐานะเป็นบุคคลภายนอกจึงไม่อยู่ในบังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1726 ระหว่างที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีนี้ ศาลฎีกาก็ได้พิพากษาถอนจำเลยที่ 1 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางรวงแล้วขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ได้พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินตามฟ้องระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้ขาย กับจำเลยที่ 2ผู้ซื้อ โดยอ้างว่าที่ดินตามฟ้องเป็นทรัพย์มรดกของนางรวงกึ่งหนึ่งจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางรวงร่วมกับโจทก์ให้การต่อสู้คดีว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองมาโดยตลอด หากฟังว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นมรดกของนางรวง สิทธิของทายาทนางรวงก็ขาดอายุความแล้ว การโต้แย้งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมิได้กระทำในฐานะผู้จัดการมรดกของนางรวงแต่เป็นการโต้แย้งโดยอ้างอำนาจของตนเอง จึงมิใช่เป็นการทำตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกของนางรวง กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการจัดการมรดกของนางรวง ซึ่งต้องถือเอาเสียงข้างมากของผู้จัดการมรดก ถ้าเสียงเท่ากันเมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอก็ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 ดังนั้น คดีนี้จึงนำบทมาตราดังกล่าวมาปรับไม่ได้ การที่จำเลยที่ 1 ต่อสู้คดีว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว และได้รื้อห้องแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนี้ถวายวัดไปแล้ว เช่นนี้ นอกจากจะเห็นได้ชัดว่า จำเลยที่ 1ย่อมไม่ประสงค์จะให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินตามฟ้องระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้ขาย กับจำเลยที่ 2 ผู้ซื้อ ซึ่งถือได้ว่าไม่เต็มใจที่จะจัดการมรดกรายนี้แล้ว ยังเป็นการโต้แย้งสิทธิในกองมรดกทั้งขณะนี้จำเลยที่ 1 ก็ได้ถูกถอนออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางรวงแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางรวงที่ยังเหลืออยู่แต่ผู้เดียว ย่อมมีอำนาจฟ้อง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ตามสิทธิและหน้าที่ของผู้จัดการมรดก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อพิพาทข้ออื่น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์อุทธรณ์ฎีกาเพียงให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามลำดับให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เป็นฝ่ายชนะคดี คำขอตามคำฟ้องอุทธรณ์และคำฟ้องฎีกาของโจทก์จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ (2)(ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเท่านั้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่

Share