คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 431/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นบริษัทกระทำกิจการรับขนคนโดยสารต้องรับผิดต่อความเสียหายอันเกิดแก่โจทก์ซึ่งเป็นคนโดยสาร เว้นแต่การเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดแต่ความผิดของโจทก์ ฉะนั้น แม้รถคันเกิดเหตุจะไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยก็ตาม แต่ถ้ารถคันนั้นอยู่ในความควบคุมของจำเลยและรับส่งคนโดยสารในปกติธุรกิจของจำเลยโดยตรงเมื่อคนขับประจำรถได้ขับรถโดยประมาททำให้โจทก์เสียหายแล้ว จำเลยก็ต้องรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เนื่องจากลูกจ้างของจำเลยได้ขับรถโดยสารโดยประมาทไปชนรถอื่นจนโจทก์ได้รับบาดเจ็บถึงทุพพลภาพ

จำเลยสู้ว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของและผู้ครอบครองรถ จำเลยที่ 1ไม่เคยหาประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ไม่เคยหาประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ 1 คนขับรถไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยและเป็นเพียงผู้เช่ารถของจำเลยที่ 3 โจทก์จะได้รับบาดเจ็บตามฟ้องหรือไม่ไม่รับรอง หากโจทก์ได้รับบาดเจ็บก็ด้วยความประมาทของโจทก์เองค่าเสียหายไม่เป็นความจริง โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เหตุที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของคนขับรถของจำเลย จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์

จำเลยที่ 1 และ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิด แต่ค่ายาสงสัยว่าตามบัญชีที่โจทก์เสนอมาบางรายการจะไม่ใช่ยาที่ซื้อมาสำหรับรักษาโจทก์ ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นคุณแก่ลูกหนี้ค่าสินไหมทดแทนความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมาน ค่าร่างกายชำรุดทุพพลภาพเห็นว่าโจทก์ยังรับราชการได้ และได้เลื่อนขั้นเงินเดือนเหมือนคนอื่นจึงกำหนดให้เพียงเท่าที่ศาลเห็นสมควร พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า บริษัทจำเลยที่ 1 เป็นบริษัทกระทำกิจการรับขนคนโดยสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 608 จึงต้องรับผิดต่อความเสียหายอันเกิดแก่โจทก์ซึ่งเป็นคนโดยสาร เว้นแต่การเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดแต่ความผิดของโจทก์ตามมาตรา 634 ฉะนั้น แม้รถคันเกิดเหตุจะไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 และนายชม พูนทอง ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ถ้ารถคันนั้นอยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 1 และรับส่งคนโดยสารในปกติธุรกิจของจำเลยที่ 1 โดยตรง เมื่อนายชม พูนทอง ซึ่งเป็นคนขับประจำรถได้ขับโดยประมาททำให้โจทก์เสียหายแล้ว จำเลยที่ 1ก็ต้องรับผิด และไม่เชื่อว่ารถคันเกิดเหตุได้ลักลอบเดินเองโดยจำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอม

ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ไม่ต้องร่วมรับผิดนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้เอารถของจำเลยที่ 3 เข้าเดินในเส้นทางนั้นอยู่ก่อนโดยได้รับแบ่งผลประโยชน์จากค่าโดยสาร เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับสัมปทาน จำเลยที่ 2 ก็ได้เอารถซึ่งตนควบคุมอยู่นั้นเข้ามาเดินในเส้นทางสายนี้อันเป็นกิจการอยู่ในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 2ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มอบหมายให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการขนส่งแทนจำเลยที่ 2 มิใช่จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2จึงต้องรับผิด

ในเรื่องค่ายาที่โจทก์ฎีกาและค่าต้องทนทุกข์ทรมานและความพิการของแขนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 คัดค้านว่าสูงไปนั้น ศาลได้กำหนดให้เป็นการสมควรแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2

Share