คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อหนี้ที่โจทก์เรียกร้องมีมูลมาจากการทำละเมิด โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้คืนทรัพย์สินอันต้องเสียไปเพราะละเมิดหรือให้ใช้ราคาทรัพย์นั้น การที่จำเลยได้ทำหนังสือไว้ต่อโจทก์ มีใจความว่ายอมจะใช้ราคาทรัพย์สินที่เสียหาย ดังนี้ ถือได้ว่าหนังสือดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ยอมรับสภาพต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องไม่เป็นหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะไม่มีข้อความที่แสดงว่าผู้ทำหนังสือดังกล่าวระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า คนงานของจำเลยทำให้เสาโทรเลขและอุปกรณ์ของโจทก์เสียหายและสูญหาย เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 73,529.21 บาทพร้อมดอกเบี้ยจำเลยให้การว่า ค่าเสียหายเป็นเงินเพียง 21,000 บาท และโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแล้วศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 20,749.37 บาท โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในขั้นฎีกา ฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2522จำเลยรับจ้างเหมาสร้างและขยายทางหลวงจังหวัดสายชลบุรี-บ้านบึงในการสร้างและขยายทางดังกล่าวคนงานของจำเลยได้ใช้รถแทรกเตอร์ดันต้นไม้ข้างทางล้มเกี่ยวสายโทรเลขของโจทก์ ทำให้เสาโทรเลขล้มหักเสียหายและใช้รถดันเสาโทรเลขออกนอกเขตทางที่สร้างและขยาย และใช้รถขุดดินทับเสาโทรเลขของโจทก์ที่วางไว้ข้างทางเตรียมจะปักใหม่หลายต้น เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2524ผู้ว่าการการสื่อสารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งนายวาทิน ลาภสมทบนายสมควร พรหมสาขา ณ สกลนคร และนายบัณฑิต เภตระกูลพนักงานของโจทก์เป็นกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและหาตัวผู้รับผิดหรือร่วมรับผิดทางแพ่ง ต่อมาคณะกรรมการดังกล่าวได้รายงานว่าเสาโทรเลขขาดหายไป 71 ต้น เสาโทรเลขที่ถูกถอนและหักชำรุดทิ้งไว้ข้างทาง 28 ต้น (โจทก์ฟ้องว่า 24 ต้น) เสาค้ำยันขนาด 7 เมตรหักชำรุด 5 ต้น กางเขนขนาด 4 ลูก ถ้วย ขาดหายไป 124 อัน ก้านตรงต้นลูกถ้วย ขาดหายไป 124 อัน ลูกถ้วยกระเบื้อง ขาดหายไป124 ลูก จำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งหมดผู้ว่าการสื่อสารแห่งประเทศไทยทราบรายงานของคณะกรรมการเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2524 ปรากฏตามรายงานของกองนิติการเอกสารหมาย จ.2
ที่โจทก์ฎีกาว่าขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน73,529.21 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามคำพิพากษาชั้นต้นนั้น แม้นายเชาว์ ทองมา ผู้ว่าการการสื่อสารแห่งประเทศไทยเบิกความว่าเสาโทรเลขของโจทก์เสียหาย 18 ต้น เสาค้ำ 5 ต้น กางเขน 124 อันและลูกถ้วย 124 ลูก แต่ปรากฏตามรายงานของกองนิติการเอกสารหมาย จ.2 ว่า คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและหาตัวผู้รับผิดหรือร่วมรับผิดทางแพ่ง ว่าได้ออกสำรวจทางที่จำเลยสร้างและขยายแล้ว ทรัพย์สินของโจทก์เสียหายและสูญหายปรากฏรายละเอียดตามที่ศาลฎีกายกขึ้นกล่าวข้างต้น หาได้เสียหายและสูญหายดังคำเบิกความของนายเชาว์ไม่นายเชาว์ได้เบิกความต่อไปว่าค่าวัสดุดังกล่าวรวมเป็นเงิน 72,529.21 บาทถ้าคิดค่าแรงด้วยเป็นเงิน 100,000 บาทเศษ รายงานของคณะกรรมการปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2 ทรัพย์สินของโจทก์ที่สูญหายและเสียหายที่โจทก์กล่าวในคำฟ้องตรงกับรายงานของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและหาตัวผู้รับผิดหรือร่วมรับผิดทางแพ่งทุกรายการ เว้นแต่เสาโทรเลขหักชำรุด โจทก์ฟ้องว่ามีจำนวน 24 ต้น แต่รายงานของคณะกรรมการว่ามีจำนวน 28 ต้น ปรากฏตามบันทึกคำให้การ ลงวันที่ 12 มิถุนายน2524 ว่านายชิต ตันติสุนทร ผู้จัดการสนามหรือผู้จัดการโครงการของจำเลยยอมรับว่าในการสร้างทางจำเลยทำให้เสาโทรเลขเสียหาย30 ต้น จำเลยขอใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 21,000 บาท เห็นได้ว่าเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2524 ผู้จัดการสนามของจำเลยผู้มีหน้าที่ควบคุมการสร้างและขยายทางสายนี้ ยอมรับว่าเสาโทรเลขของโจทก์เสียหาย 30 ต้น แต่หลังจากวันที่ 12 มิถุนายน 2524 คนงานของจำเลยยังได้ทำละเมิดต่อไปอีกดังนั้น ศาลฎีกาจึงเชื่อตามคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและหาตัวผู้รับผิดหรือร่วมรับผิดทางแพ่งว่าได้สำรวจแล้ว เสาโทรเลขของโจทก์ขาดหายไป 71 ต้นหักชำรุดทิ้งไว้ข้างทาง 28 ต้นหาใช่เสียหายทั้งหมดเพียง 18 ต้นดังที่นายเชาว์เบิกความไม่ การที่นายเชาว์เบิกความว่าเสาโทรเลขเสียหาย 18 ต้น และไม่เบิกความถึงก้านตรง (ก้านลูกถ้วย) ที่คณะกรรมการดังกล่าวสำรวจพบว่าสูญหาย 124 อัน เป็นเรื่องเบิกความผิดพลาดไปจำเลยก็มิได้นำสืบว่าทรัพย์สินของโจทก์ที่ชำรุดและสูญหายมีจำนวนเท่าใดดังนั้น จึงฟังได้ว่าทรัพย์สินของโจทก์ที่สูญหายและเสียหายมีจำนวนดังที่โจทก์กล่าวในคำฟ้อง ส่วนราคาของทรัพย์สินดังกล่าวแต่ละหน่วยนั้น โจทก์กล่าวในฟ้องว่าเสาโทรเลขต้นละ 628.64บาท เสาค้ำขนาด 7 เมตรต้นละ 497.97 บาท กางเขนขนาด 4 ลูกถ้วยอันละ 30 บาท ก้านตรงอันละ 15 บาท ลูกถ้วยกระเบื้อง เคลือบลูกละ26 บาท ปรากฏตามสำเนาหนังสือสั่งซื้อของกองทรัพย์สินและพัสดุการสื่อสารแห่งประเทศไทย เอกสารหมาย จ.11 ถึง จ.14 ซึ่งสั่งซื้อในปีพุทธศักราช 2524 และ 2525 ว่าเสาคอนกรีตขนาด 9 เมตรราคาต้นละ 1,035.00 บาท ขนาด 7 เมตรราคาต้นละ 635.00 บาทเสาค้ำยันขนาด 7 เมตรราคาต้นละ 535.00 บาท ก้านตรงลูกถ้วย ราคาอันละ 15.50 บาท ไม้กางเขนขนาด 4 ลูกถ้วย ราคาอันละ 75.00 บาทลูกถ้วยราคาลูกละ 21.00 บาท จำเลยมิได้นำสืบเป็นอย่างอื่น ศาลฎีกาจึงกำหนดราคาในการคำนวณค่าเสียหายให้โจทก์ดังที่โจทก์ขอมา แต่ที่โจทก์ฟ้องว่าเสาโทรเลขหักชำรุด 24 ต้น ราคาต้นละ 628.64 บาทเป็นเงิน 17,601.92 บาทนั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องเป็นเงิน 15,067.36บาท รวมค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องรับผิดทุกรายการเป็นเงิน71,014.65 บาท
ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2524 โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมรับผิด 21,000 บาทตามเอกสารหมาย ล.7 โดยโจทก์ได้เชิดนายวาทินเป็นตัวแทนหรือยอมให้นายวาทินเชิดตัวเองเป็นตัวแทนโจทก์ ในการทำสัญญานายชิตผู้จัดการสนามเป็นผู้ทำสัญญาแทนจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามจำนวนที่โจทก์กล่าวอ้างนั้น ปรากฏว่าเอกสารหมาย ล.7เป็นบันทึกคำให้การของนายชิตที่ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและหาตัวผู้รับผิดหรือร่วมรับผิดในทางแพ่งที่ผู้ว่าการการสื่อสารแห่งประเทศไทยแต่งตั้ง เพื่อหารายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายที่โจทก์ได้รับและหาตัวผู้รับผิด นายชิตลงลายมือชื่อโดยระบุฐานะว่าผู้ให้สัญญา นายวาทินกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการดังกล่าวลงลายมือชื่อโดยระบุฐานะว่าผู้รับสัญญาเอกสารฉบับนี้มีใจความว่า นายชิตยอมรับว่าในการสร้างทางสายชลบุรี-บ้านบึงจำเลยทำให้เสาโทรเลขของโจทก์หัก 30 ต้น โจทก์คิดราคาต้นละ700 บาท จำเลยจะใช้เงินให้ 21,000 บาท เมื่อโจทก์เรียกร้องพิเคราะห์ใจความในเอกสารหมาย ล.7 แล้ว เห็นว่า หนี้ที่โจทก์เรียกร้องมีมูลมาจากการทำละเมิด โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้คืนทรัพย์สินอันต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น เมื่อนายชิตทำหนังสือยอมจะใช้ราคาทรัพย์สินของโจทก์ที่สูญหายและเสียหาย เอกสารฉบับนี้จึงเป็นเพียงหนังสือที่ฝ่ายจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ยอมรับสภาพต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง หาใช่หนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ เพราะไม่มีข้อความที่แสดงว่าผู้ทำเอกสารฉบับนี้ระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เอกสารฉบับนี้จึงมิใช่หนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนั้นจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าในการทำเอกสารฉบับนี้โจทก์เชิดนายวาทินเป็นตัวแทน หรือยอมให้นายวาทินเชิดตัวเองเป็นตัวแทนโจทก์ดังที่จำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ โจทก์จึงไม่ถูกจำกัดสิทธิที่จำต้องยอมรับค่าสินไหมทดแทนเพียง 21,000 บาท”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทน 71,014.65 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์

Share