คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3242/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่เจ้าของแท้จริงจะร้องขอให้ศาลสั่งคืนทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 โดยอ้างว่าตนเองมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ได้มีการฟ้องคดีต่อศาลแล้วเท่านั้น เมื่อมิได้มีการฟ้องคดีต่อศาล ผู้ร้องจึงจะมาร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องไม่ได้

ย่อยาว

มูลกรณีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นว่า ของกลางคดีอาญาตามคำร้องนี้เจ้าพนักงานได้ยึดไว้โดยไม่มีการฟ้องคดีอาญา ผู้ร้องจึงมายื่นคำร้องขอคืนของกลางไม่ได้ ยกคำร้องผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นนี้ได้ความตามคำร้องของผู้ร้องว่า รถยนต์บรรทุกหกล้อ คันหมายเลขทะเบียน 80-0266สมุทรสงคราม เป็นของผู้ร้อง ซึ่งผู้ร้องได้ให้นายกิตติชัยเช่าซื้อต่อมานายกิตติชัยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ผู้ร้องจึงได้บอกเลิกสัญญาและติดตามเอารถยนต์คืน แต่ยังไม่สามารถเอาคืนได้ต่อมาปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง 5 กองกำกับการ 2จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้จับกุมนายสุทธิชัยได้พร้อมด้วยของกลางและรถยนต์ของผู้ร้องในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร ด้วยการใช้รถยนต์ของผู้ร้องเป็นยานพาหนะในการบรรทุกสิ่งของโดยหลีกเลี่ยงข้อห้าม ข้อจำกัด นำส่งด่านศุลกากรบ้านดอนดำเนินคดี ต่อมากรมศุลกากรได้มีคำสั่งระงับคดี รับของกลางไว้เป็นของแผ่นดินและงดเว้นค่าปรับ คดีถึงที่สุดแล้ว โดยมิได้ฟ้องคดีต่อศาลและต่อมานายด่านศุลกากรบ้านดอนได้ปฏิเสธที่จะคืนรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องจึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องจะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้อง โดยอ้างว่ารถยนต์เป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36 โดยไม่จำต้องมีคดีขึ้นสู่ศาลหรือศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ริบได้หรือไม่ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลสั่งให้ริบทรัพย์สินตามมาตรา 33หรือมาตรา 34 ไปแล้ว หากปรากฏในภายหลังโดยคำเสนอของเจ้าของแท้จริงว่า ผู้เป็นเจ้าของแท้จริง มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ก็ให้ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงาน แต่คำเสนอของเจ้าของแท้จริงนั้นจะต้องกระทำต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด” ศาลฎีกาเห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวมีข้อความชัดว่าคำเสนอของเจ้าของแท้จริงนั้นจะกระทำต่อศาลได้ก็แต่เฉพาะในกรณีที่ศาลสั่งให้ริบทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือมาตรา 34 ดังนั้น การที่เจ้าของแท้จริงจะร้องขอให้ศาลสั่งคืนทรัพย์สินตามบทบัญญัติดังกล่าวโดยอ้างว่าตนเองมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ได้มีการฟ้องคดีต่อศาลแล้วเท่านั้นสำหรับกรณีของผู้ร้องเป็นกรณีที่มิได้มีการฟ้องคดีต่อศาล ผู้ร้องจึงจะมาร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องโดยอาศัยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 มิได้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share