แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีคำวินิจฉัยให้เพิ่มเงินค่าทดแทนตามจำนวนที่โจทก์ขอค่าทดแทนเพิ่มในอุทธรณ์ของโจทก์ ค่าทดแทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้จึงเป็นค่าทดแทนที่ต้องถือว่าโจทก์พอใจแล้วไม่มีเหตุที่โจทก์จะโต้แย้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยต่อศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 26 วรรคหนึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องศาลเรียกค่าทดแทนเพิ่ม การกำหนดเงินค่าทดแทนจะต้องบังคับตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ตามหลักเกณฑ์ทั้ง 5 ประการ มิใช่เพียงข้อหนึ่งข้อใด เมื่อโจทก์และจำเลยไม่อาจแสดงให้ศาลเห็นได้ ว่าที่ดินโจทก์ที่จะต้องเวนคืนมีราคาตามธรรมดาที่ซื้อขายกัน ในท้องตลาดเป็นราคาเท่าใด ศาลจึงมีอำนาจกำหนดให้ตาม ความเหมาะสมโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว ค่าทดแทนที่ดินที่จะต้องเวนคืนเป็นคนละส่วนคนละกรณีกัน กับค่าทดแทนที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนอันราคาลดลง เมื่อคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้น ไม่ได้กำหนด เงินค่าทดแทนสำหรับที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนให้แก่โจทก์ โจทก์คงอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพียงว่า คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นกำหนดเงินค่าทดแทนสำหรับ ที่ดินโจทก์ที่ถูกเวนคืนต่ำเกินไป ไม่ได้อุทธรณ์ในส่วนที่ดินโจทก์ที่เหลือจากการเวนคืนว่าราคาลดลงด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนในส่วนนี้จากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในโฉนด3 แปลง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจ จำเลยที่ 2เป็นผู้รับผิดชอบมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เมื่อปี 2533ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืนในท้องที่เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2533 เพื่อก่อสร้างทางพิเศษสายรามอินทรา-อาจณรงค์ กำหนดให้จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินโจทก์ถูกเวนคืนรวมเนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 59 ตารางวา โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนมาแล้วแต่โจทก์เห็นว่าโจทก์ควรได้รับเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้น ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 149,175,062.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินของต้นเงิน 139,175,062.50 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินทั้งสามแปลงถูกเวนคืนบางส่วนและโจทก์ได้รับเงินค่าเวนคืนตามฟ้อง จำเลยทั้งสองจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนให้โจทก์เป็นธรรมและถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน17,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินแต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2537 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเป็นประการแรกตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 187523 ในส่วนที่จะต้องเวนคืนหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า แม้โจทก์จะอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขอเรียกเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 187523 จากราคาที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้น กำหนดตารางวาละ 35,000 บาท เป็นตารางวาละ63,000 บาท และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีคำวินิจฉัยให้เพิ่มตามที่โจทก์ขอแล้วก็ตาม ก็ไม่ทำให้โจทก์ต้องเสียสิทธิที่จะได้รับเงินค่าทดแทนเพิ่มตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายซึ่งมากกว่าจำนวนที่โจทก์ได้อุทธรณ์ขอไปนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530มาตรา 25 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 ผู้ใดไม่พอใจในราคาอสังหาริมทรัพย์หรือจำนวนเงินค่าทดแทนที่คณะกรรมการกำหนดตามมาตรา 9 มาตรา 10 ทวิมาตรา 23 หรือมาตรา 28 วรรคสาม มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา 6” และมาตรา 26 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจในคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในหนึ่งปี” ตามบทกฎหมายดังกล่าวเป็นการกำหนดขั้นตอนในการตรวจสอบการกำหนดเงินค่าทดแทนเพื่อให้ประชาชนที่ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเป็นธรรมและถูกต้องตามกฎหมายโดยให้ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่ยังไม่พอใจในราคาอสังหาริมทรัพย์หรือจำนวนเงินค่าทดแทนที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนด มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาได้ และในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจในคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีก็ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ ซึ่งย่อมหมายความว่าในกรณีที่ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนไม่พอใจในราคาอสังหาริมทรัพย์หรือจำนวนเงินที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนดและได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกา ขอให้กำหนดเงินค่าทดแทนตามจำนวนที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนอุทธรณ์ และรัฐมนตรีมีคำวินิจฉัยไม่เป็นไปตามที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนขอในอุทธรณ์ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้เพื่อให้ได้รับเงินค่าทดแทนตามจำนวนที่ได้อุทธรณ์ แต่กรณีนี้ปรากฏว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนอุทธรณ์ขอเงินค่าทดแทนเพิ่มสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 187523 ในส่วนที่จะต้องเวนคืนจากตารางวาละ 35,000 บาท เป็นตารางวาละ 63,000 บาทตามเอกสารหมาย ล.14 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีคำวินิจฉัยให้เพิ่มเงินค่าทดแทนจากตารางวาละ 35,000 บาท เป็นตารางวาละ 63,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งตรงกับเอกสารหมาย ล.17 อันเป็นจำนวนที่โจทก์ขอค่าทดแทนเพิ่มในอุทธรณ์ของโจทก์ค่าทดแทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้โจทก์จึงเป็นค่าทดแทนที่ต้องถือว่าโจทก์พอใจแล้วไม่มีเหตุที่โจทก์จะโต้แย้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยต่อศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 26 วรรคหนึ่งต่อไปอีก มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดขั้นตอนให้โจทก์ต้องอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาก่อนโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องศาลเรียกค่าทดแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 187523 เพิ่มอีกได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปเป็นประการที่สองตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองมีว่า การกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 3261 และโฉนดเลขที่ 187525 ในส่วนที่จะต้องเวนคืนที่ฝ่ายจำเลยทั้งสองกำหนดนั้นชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมหรือไม่โจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นหรือไม่เพียงใด โดยโจทก์ฎีกาว่าค่าทดแทนที่ดินที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 3261 และโฉนดเลขที่ 187525 ในส่วนที่จะต้องเวนคืนราคาตารางวาละ 140,000 บาท ยังไม่ถูกต้องและต่ำกว่าความเป็นจริงไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ส่วนจำเลยทั้งสองฎีกาว่าค่าทดแทนที่ดินที่ฝ่ายจำเลยทั้งสองกำหนดให้โจทก์ตารางวาละ130,000 บาท เป็นราคาที่เหมาะสม เป็นธรรมและถูกต้องตามกฎหมายแล้วนั้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 3261และโฉนดเลขที่ 187525 ตำบลบางกะปิ (ลาดพร้าวฝั่งเหนือ)อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 79 ตารางวาและ 7 ไร่ 3 งาน 17 ตารางวา ตามลำดับ อยู่ในแนวเขตที่จะต้องเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตลาดพร้าว เขตบึงกุ่ม เขตบางกะปิ เขตห้วยขวางเขตคลองเตย และเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2533 เพื่อสร้างทางพิเศษสายรามอินทรา-อาจณรงค์ โดยที่ดินโฉนดเลขที่ 3261 อยู่ในแนวเขตที่จะต้องเวนคืนเป็นเนื้อที่ 300 ตารางวา และที่ดินโฉนดเลขที่ 187525 อยู่ในแนวเขตที่จะต้องเวนคืนเป็นเนื้อที่ 1,430 ตารางวา รวมเนื้อที่ 1,730 ตารางวา ซึ่งการกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินโจทก์ที่อยู่ในเขตที่จะต้องเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจะต้องบังคับตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งในพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 21 วรรคหนึ่ง บัญญัติถึงการกำหนดเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนโดยให้คำนึงถึง (1) ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา 6(2) ราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่มีการตีราคาไว้เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ (3) ราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (4) สภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์นั้น และ (5) เหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคม ดังนั้น การกำหนดเงินค่าทดแทนจึงต้องพิจารณาโดยใช้หลักเกณฑ์ทั้งห้าประการของมาตรา 21 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มิใช่เพียงข้อหนึ่งข้อใด และโดยที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตลาดพร้าว พ.ศ. 2533 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2533 การกำหนดเงินค่าทดแทนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1)จึงต้องถือเอาราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ในวันที่ 4 ตุลาคม 2533 พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบจึงยังรับฟังไม่ได้ว่าราคาที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 3261 และโฉนดเลขที่ 187525 ในขณะที่มีการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนมีราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดตารางวาละ200,000 บาท ตามที่โจทก์ฟ้องและนำสืบ ทั้งยังไม่ได้ความชัดเจนอีกด้วยว่าเป็นราคาเท่าใด เมื่อพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยไม่อาจแสดงให้ศาลเห็นได้ว่าที่ดินโจทก์ที่จะต้องเวนคืนมีราคาตามธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดเป็นราคาเท่าใด ศาลจึงมีอำนาจกำหนดให้ตามความเหมาะสมโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21 วรรคหนึ่งซึ่งเมื่อพิจารณาภาพถ่ายแสดงที่ดินโจทก์บริเวณที่จะต้องเวนคืนหมาย จ.28 ถึง จ.34 แผนผังแสดงที่ดินที่ถูกทางเอกสารหมาย ล.9และ ล.12 ประกอบกับรายงานการประเมินเอกสารหมาย จ.35 ได้ความว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 3261 บริเวณด้านหน้าของที่ดินที่ติดถนนพระรามที่ 9 ได้ถูกกำหนดให้อยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างโครงการทางด่วนขั้นที่ 2 สายพญาไท-ศรีนครินทร์คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 293 ตารางวา คงเหลือเนื้อที่ประเมิน1 ไร่ 3 งาน 86 ตารางวา และได้ถูกแนวเวนคืนเพื่อก่อสร้างโครงการทางด่วนสายรามอินทรา-อาจณรงค์ คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 300 ตารางวา ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 187525 บริเวณด้านหน้าของที่ดินที่ติดถนนพระรามที่ 9 ได้อยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างโครงการทางด่วนขั้นที่ 2 สายพญาไท-ศรีนครินทร์คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 293 ตารางวา คงเหลือเนื้อที่ประมาณ7 ไร่ 24 ตารางวา และได้ถูกแนวเวนคืนเพื่อก่อสร้างโครงการทางด่วนสายรามอินทรา-อาจณรงค์คิดเป็นเนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน30 ตารางวา แสดงว่าที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 3261 และโฉนดเลขที่ 187525 ส่วนหน้าที่ดินติดกับถนนพระรามที่ 9 ได้ถูกกำหนดให้อยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างโครงการทางด่วนขั้นที่ 2 สายพญาไท-ศรีนครินทร์ก่อนแล้ว แต่อย่างไรก็ตามฝ่ายจำเลยทั้งสองได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินที่จะต้องเวนคืนในคดีนี้เป็นที่ดินที่อยู่ติดถนนพระรามที่ 9เหมือนเดิม แม้จะกำหนดเงินค่าทดแทนโดยถือว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 187525 และโฉนดเลขที่ 3261 ในส่วนที่จะต้องเวนคืนในคดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของโฉนดที่ดินซึ่งมีด้านหนึ่งอยู่ติดถนนพระรามที่ 9 ก็ตาม แต่สภาพและที่ตั้งของที่ดินโฉนดเลขที่ 187525 เป็นที่ดินสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า ด้านทิศเหนือกว้างประมาณ 48 เมตร ติดที่ดินโฉนดเลขที่ 187524 ด้านทิศใต้กว้างประมาณ 36 เมตร อยู่ติดถนนพระรามที่ 9 ด้านทิศตะวันออกยาวประมาณ 300 เมตร ด้านทิศตะวันตกยาวประมาณ 310 เมตร (ตามรายงานการประเมินเอกสารหมาย จ.8) ด้านยาวของที่ดินยาวกว่าด้านกว้างของที่ดินกว่า 8 เท่า ที่ดินส่วนที่อยู่ใกล้ถนนพระรามที่ 9 ที่จะต้องเวนคืนมีเนื้อที่เล็กน้อย เนื้อที่ส่วนมากที่จะต้องเวนคืนอยู่บริเวณตรงกลางของที่ดินแปลงนี้ค่อนไปทางด้านทิศเหนือ จุดที่จะต้องเวนคืนด้านเหนือสุดอยู่ห่างที่ดินโฉนดเลขที่ 187524 ประมาณ30 เมตร เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2532 มีการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 187524 เฉลี่ยตารางวาละ 30,000 บาท ตามสำเนาโฉนดที่ดินและสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.16 เมื่อพิจารณาถึงสภาพของที่ดินโฉนดเลขที่ 187525 ซึ่งมีลักษณะดังกล่าวและราคาซื้อขายของที่ดินโฉนดเลขที่ 187524 ดังกล่าวแล้ว เชื่อว่าราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของที่ดินโฉนดเลขที่ 187525ทั้งแปลง ตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกา พ.ศ. 2533เฉลี่ยแล้วตารางวาละไม่เกิน 130,000 บาท และเมื่อคำนึงถึงว่าเนื้อที่ส่วนมากที่จะต้องเวนคืนอยู่บริเวณตรงกลางของที่ดินโฉนดเลขที่ 187525 ส่วนที่จะต้องเวนคืนที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนดให้แก่โจทก์ตารางวาละ 130,000 บาทนั้นเป็นประโยชน์แก่โจทก์อยู่แล้ว โจทก์ไม่ควรได้รับค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้นอีก ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 3261 เป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า ด้านทิศเหนือกว้างประมาณ 40 เมตร อยู่ติดกับถนนพระราม 9 ด้านทิศใต้กว้างประมาณ 48 เมตร ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกยาวด้านละประมาณ 90 เมตร รูปที่ดินแปลงนี้ดีพอควรนายประสิทธิ์ รักสลาม ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ซึ่งเป็นพยานโจทก์ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสองว่า ที่ดินแปลงนี้ก่อนถูกเวนคืนเป็นที่ส่วนที่ดินนอกเขตบริเวณที่ถูกเวนคืนมีบางแปลงขายต่ำกว่าราคาประเมิน เมื่อพิจารณาสภาพและที่ตั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 3261กับคำเบิกความของนายประสิทธิ์ดังกล่าวและราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมพ.ศ. 2535 ของที่ดินแปลงนี้ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 อันเป็นระยะเวลาหลังจากที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน แล้วกว่า 1 ปี ทั้งราคาประเมินทุนทรัพย์ดังกล่าวได้มาจากการรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เก็บข้อมูลมาจากการจดทะเบียนซื้อขาย 3 ปี ย้อนหลังและสำรวจข้อมูลอื่น ๆ ราคาประเมินทุนทรัพย์ดังกล่าวจึงน่าจะใกล้เคียงกับราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของที่ดินโฉนดเลขที่ 3261 ตามที่เป็นอยู่ในวันที่ 4 ตุลาคม 2533 และได้คำนึงถึงเหตุต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 มาตรา 21(1) ถึง (5) แล้ว เห็นว่า เงินค่าทดแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 3261 ตารางวาละ 140,000 บาท นั้นสูงเกินไปเงินค่าทดแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 3261 ในส่วนที่จะต้องเวนคืนที่เป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืนและสังคมคือตารางวาละ 135,000 บาทเพิ่มขึ้นจากที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้น กำหนดอีกตารางวาละ 5,000 บาท ดังนี้ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีกตารางวาละ 5,000 บาท เนื้อที่ 300 ตารางวาเป็นเงิน 1,500,000 บาท ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เป็นประการสุดท้ายว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนสำหรับที่ดินส่วนที่เหลือซึ่งโจทก์อ้างว่ามีราคาลดลงได้หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกร้องเงินค่าทดแทนดังกล่าวได้ เพราะมิใช่เงินค่าทดแทนอันจะต้องอุทธรณ์ตามมาตรา 25 เพื่อให้เกิดสิทธิในการฟ้องร้องตามมาตรา 26 นั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530ได้กำหนดขั้นตอนการดำเนินการกำหนดเงินค่าทดแทนการจ่ายหรือการวางเงินค่าทดแทน การอุทธรณ์และการฟ้องคดีของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนไว้ โดยให้คณะกรรมการตามมาตรา 9 เป็นผู้กำหนดราคาของอสังหาริมทรัพย์หรือจำนวนเงินค่าทดแทนก่อนเมื่อคณะกรรมการตามมาตรา 9 กำหนดราคาของอสังหาริมทรัพย์หรือจำนวนเงินค่าทดแทนแล้ว ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนไม่พอใจในราคาของอสังหาริมทรัพย์ หรือจำนวนเงินค่าทดแทนที่คณะกรรมการตามมาตรา 9 กำหนด ก็ต้องอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคหนึ่ง เป็นลำดับต่อมา เพื่อให้รัฐมนตรีพิจารณาวินิจฉัย แล้วจึงจะถึงขั้นตอนการฟ้องคดีตามมาตรา 26 วรรคหนึ่งคือ ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจในคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 หรือในกรณีที่รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคสอง ก็มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีหรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วแต่กรณี ค่าทดแทนที่ดินที่จะต้องเวนคืนเป็นคนละส่วนคนละกรณีกันกับค่าทดแทนที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนอันราคาลดลงสิทธิที่จะฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนไม่ว่าเป็นกรณีที่ดินที่จะต้องเวนคืนหรือกรณีที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนอันราคาลดลงก็ต้องดำเนินการผ่านขั้นตอนดังกล่าวมาแล้วจึงจะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการตามมาตรา 9 คือคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ ไม่ได้กำหนดเงินค่าทดแทนสำหรับที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนให้แก่โจทก์ หากโจทก์ไม่พอใจการพิจารณาในส่วนนี้ของคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ โจทก์ต้องอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้พิจารณาวินิจฉัยกำหนดค่าทดแทนในส่วนนี้ให้แก่โจทก์เสียก่อน จึงจะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลเรียกเงินค่าทดแทนในส่วนนี้ การที่โจทก์อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพียงว่า คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯกำหนดเงินค่าทดแทนสำหรับที่ดินโจทก์ที่ถูกเวนคืนต่ำเกินไปไม่อาจถือได้ว่าได้อุทธรณ์ขอเงินค่าทดแทนในส่วนที่ดินโจทก์ที่เหลือจากการเวนคืนอันราคาลดลงด้วย เมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในส่วนที่ดินโจทก์ที่เหลือจากการเวนคืนว่าราคาลดลงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนในส่วนนี้จากจำเลยทั้งสอง ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ฯ (ที่ดินโฉนดเลขที่ 3621) ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 ตามเอกสารหมาย จ.3 เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2536ซึ่งฝ่ายจำเลยมีหน้าที่จะต้องจ่ายเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของภายใน 120 วัน นับแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขาย คือวันที่ 17 สิงหาคม 2536 ตามมาตรา 11 วรรคหนึ่งและโจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินค่าทดแทนที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายเงินคือวันที่ 17 สิงหาคม 2536เป็นต้นไป ตามมาตรา 26 วรรคท้าย ที่ศาลอุทธรณ์ให้ชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2536 เป็นต้นไปนั้นยังไม่ถูกต้องจึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มให้โจทก์อีก 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินแต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์