คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3237/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ฝิ่นของกลางจะมีน้ำหนักถึง 10,000 กรัม แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าฝิ่นของกลางมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์จำนวนเท่าใด จึงฟังไม่ได้ว่าฝิ่นของกลางมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา 69 วรรคสาม หรือมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมตามมาตรา 69 วรรคสี่ จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคสามหรือวรรคสี่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 17, 69, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 3, 4, 6, 10 พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯมาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 371 ริบฝิ่นรถยนต์และอาวุธปืน กระสุนปืนของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหาพาอาวุธปืน แต่ปฏิเสธในข้อหามีฝิ่นไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 3, 4,6, 10 พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ข้อหาพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 1 รับสารภาพในความผิดฐานนี้ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3เดือน ข้อหามียาเสพติดให้โทษ (ฝิ่น) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 20 ปี รวม 2 กระทงเป็นจำคุก 20 ปี 3 เดือน ริบฝิ่น รถยนต์ อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา 69 วรรคสอง จำคุก 9 ปีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปีรวมกับโทษในความผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นจำคุก 6 ปี 3 เดือน อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนของกลางคืนให้จำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า วันเวลาตามฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยอาวุธปืนพกสั้นขนาด .22 หมายเลขทะเบียน กท.384264 กระสุนปืนขนาด .22 จำนวน 6 นัด ฝิ่นดิบ 7 ห่อ หนัก 10,000 กรัม และ รถยนต์ หมายเลขทะเบียนเชียงใหม่ น – 4983 เป็นของกลาง ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีเพียงว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา 69 วรรคสอง โดยเหตุผลว่า ไม่ได้ส่งฝิ่นของกลางไปตรวจพิสูจน์เพื่อคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ว่ามีจำนวนเท่าใดนั้นเป็นการไม่ชอบ และชอบที่ศาลอุทธรณ์จะต้องลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 69 วรรคสี่หรือวรรคสามตามที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าพันตำรวจโทสายัณห์ วงษ์พันธ์ สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอแม่แตงพยานโจทก์เบิกความว่าไม่ได้ส่งฝิ่นของกลางไปตรวจพิสูจน์เพื่อคำนวณสารบริสุทธิ์ออกมาว่าเป็นจำนวนเท่าใดดังนั้นจึงไม่อาจฟังได้ว่าฝิ่นของกลางมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมตามมาตรา 69 วรรคสี่ ทั้งไม่อาจฟังว่าปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัมตามมาตรา 69 วรรคสามเพราะการลงโทษตามมาตรา 69 วรรคสามและวรรคสี่เป็นการลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นตามลำดับ โจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบให้ครบองค์ประกอบความผิดตามวรรคสามหรือวรรคสี่ กลับมิได้นำสืบให้ศาลเห็นว่าฝิ่นของกลางมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์จำนวนเท่าใด แม้ฝิ่นของกลางจะมีน้ำหนักถึง 10,000 กรัมก็ตาม ศาลจะอนุมานเอาเองว่าฝิ่นของกลางทั้งหมดนี้จะต้องมีสารบริสุทธิ์เกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมหรืออย่างน้อยก็ต้องมีสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัมอยู่ด้วยตามที่โจทก์ฎีกาหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบตามมาตรา 69 วรรคสามหรือวรรคสี่ คงนำสืบฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 69 วรรคสามหรือวรรคสี่ได้
พิพากษายืน.

Share