แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 218
จำเลยฎีกาขอให้ศาลรอการลงโทษ เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2325/2528 ของศาลชั้นต้น กับฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้ฟ้องคดีภายใน 72ชั่วโมงและไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการฎีกาดังกล่าวแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ดังนี้ข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยไม่มีปรากฏในการพิจารณาของศาลชั้นต้น ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 142 จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามมาตรา78 ให้จำคุก 2 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือนศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาข้อ 2 ค. ขอให้ศาลฎีการอการลงโทษให้ ซึ่งเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้ สำหรับฎีกาของจำเลยในข้ออื่นคือข้อ 2 ก. จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2325/2528 ของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยถูกฟ้องฐานหลบหนีการควบคุมของเจ้าพนักงานอันเนื่องมาจากจำเลยถูกจับกุมฐานมีถ่านไม้ไว้ในครอบครองเกินปริมาตรที่ทางราชการกำหนด แล้วเจ้าพนักงานตำรวจได้ให้จำเลยเอาถ่านไม้ของกลางไปสถานีตำรวจแต่จำเลยได้หลบหนีไป คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดคดีนี้และแม้จะเป็นต่างกรรมกันแก่โจทก์ไม่ฟ้องเมื่อจับจำเลยได้ในคราวก่อน จึงฟ้องจำเลยอีกไม่ได้ กับฎีกาข้อ 2 ข. ซึ่งจำเลยฎีกาว่าจำเลยถูกจับครั้งก่อนเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2528ถือว่าจำเลยถูกจับในคดีนี้ด้วยโจทก์ต้องฟ้องคดีต่อศาลภายใน 72 ชั่วโมง หรือขอผัดฟ้องตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดีอาญาในศาลแขวง แต่โจทก์หาได้กระทำไม่กลับมาฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2529 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายแต่ปรากฏว่าคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยไม่มีปรากฏในการพิจารณาของศาลชั้นต้น ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างอิงจึงไม่เกิดขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อดังกล่าว และจำเลยฎีกาต่อมาจึงเป็นการไม่ชอบ ทั้งไม่ผูกมัดศาลฎีกาให้จำต้องวินิจฉัยตาม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อ 2 ก. และข้อ 2ข. ของจำเลย’
พิพากษายกฎีกาของจำเลย.