คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2967/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น อ้างว่าศาลอุทธรณ์ควรฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้อง แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ตามคำฟ้อง แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ขอให้ย้อนสำนวนก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่ากรณีไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามคำขอในอุทธรณ์ของโจทก์ได้โดยไม่ต้องสืบพยาน ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษา ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไป 80,000 บาท โดยทำเป็นนิติกรรมอำพรางในรูปโจทก์จ่ายเงินดาวน์รถยนต์บรรทุกจำนวน1 คัน ให้แก่จำเลยในราคา 80,000 บาท และจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว จำเลยไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยโจทก์ทวงถามแล้ว ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ไม่เคยกู้เงินโจทก์ เอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่นิติกรรมอำพรางและไม่ใช่สัญญากู้เงิน แต่เป็นเรื่องที่โจทก์กับหุ้นส่วนของโจทก์นำเงินมาลงทุนทำตัวถังรถยนต์บรรทุกที่จำเลยเช่าซื้อมาเพื่อให้จำเลยนำรถยนต์บรรทุกดังกล่าวไปรับจ้างขนดิน จำเลยตกลงกับโจทก์ว่าเมื่อจำเลยได้รับเงินค่าจ้างมาแล้วจะนำเงินมาหักชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกเป็นรายเดือนและหักเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้วย หากใช้เงินค่าเช่าซื้อครบแล้วจะให้รถยนต์บรรทุกดังกล่าวเป็นของโจทก์และหุ้นส่วนของโจทก์ เงื่อนไขสัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์และหุ้นส่วนยังไม่สำเร็จลุล่วง โจทก์กลับมาฟ้องให้จำเลยชำระเงินคืน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้ววินิจฉัยว่าเอกสารท้ายฟ้องนั้นมีข้อความเพียงว่าจำเลยรับเงินจากโจทก์ไปแล้วลงชื่อจำเลยโดยไม่มีข้อความแสดงว่าในการรับเงินจำเลยเป็นลูกหนี้จะใช้เงินคืนแก่โจทก์แต่อย่างใด จึงฟังเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้เอกสารท้ายฟ้องจะไม่มีข้อความว่าจำเลยรับเงินดาวน์ไปแล้วจะต้องคืนเงินให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่จำเลยได้ลงลายมือชื่อรับเงินดาวน์ไปจากโจทก์ ย่อมถือได้ว่าเป็นนิติกรรมสัญญากู้เงินที่ได้ทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษรมีผลบังคับได้ ดังนั้นหากได้ความเป็นจริงตามที่โจทก์ฟ้องและข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาทำหนังสือรับเงินดาวน์พรางสัญญากู้ หนังสือก็เป็นโมฆะ สัญญากู้ย่อมมีผลบังคับได้ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่สืบพยานโจทก์จำเลยเป็นการไม่ชอบขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นการพิพากษานอกประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์เป็นการพิพากษานอกฟ้องอุทธรณ์นั้น เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ที่คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ทั้งอ้างว่าศาลอุทธรณ์ควรฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้อง และมีคำขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์เต็มตามคำฟ้องเช่นนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่อาจพิพากษายืนได้ อย่างไรก็ตามเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่ากรณีไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามคำขอในอุทธรณ์ของโจทก์ได้โดยไม่ต้องสืบพยาน ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้เพราะเป็นการให้โอกาสคู่ความต่อสู้คดีได้เต็มที่ เพื่อศาลจะได้ทราบข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นไร โจทก์ควรชนะคดีตามคำขอในอุทธรณ์ของโจทก์หรือควรพิพากษายกฟ้องตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งไม่เป็นการพิพากษานอกประเด็นหรือนอกฟ้องอุทธรณ์แต่อย่างใด
พิพากษายืน.

Share