คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2818/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีเป็นเจ้าพนักงานในเทศบาลผู้หนึ่งได้กล่าวอภิปรายในที่ประชุมสมาชิกสภาเทศบาลนั้น มิใช่เป็นการกระทำในหน้าที่ราชการของนายกเทศมนตรี และถ้อยคำที่จำเลยกล่าวก็เป็นการกล่าวติชมด้วยความเป็นธรรมในฐานะที่จำเลยเป็นผู้เสนอญัตติและเพื่อให้สมาชิกสภาเทศบาลรับทราบเรื่องที่จำเลยได้เสนอเข้าพิจารณาในที่ประชุม จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและหมิ่นประมาทโจทก์ ตามรายงานกระบวนพิจารณาครั้งสุดท้ายมีว่าคู่ความมีการเจรจาเพื่อตกลงกันโดยศาลช่วยไกล่เกลี่ยและศาลเห็นว่าคู่ความมีทางตกลงกันได้โดยโจทก์ขอเวลาไปไตร่ตรองเพื่อตัดสินใจ ขอให้ศาลเลื่อนการฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งไปก่อนเช่นนี้ ถือได้ว่าผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวเป็นผู้นั่งพิจารณาคดีนี้แล้ว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณานี้จะมิได้นั่งพิจารณาสืบพยานโจทก์โดยตลอดคงทำการพิจารณาและจดรายงานกระบวนพิจารณาครั้งสุดท้ายเพียงครั้งเดียวผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณานี้ชอบที่จะทำคำพิพากษาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,326 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองพิษณุโลก ได้กล่าวอภิปรายในที่ประชุมสภาเทศบาลเมืองพิษณุโลก ด้วยข้อความตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องมีปัญหาว่าถ้อยคำที่จำเลยกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์และจำเลยกระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองพิษณุโลกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในเทศบาลเมืองพิษณุโลกผู้หนึ่ง แต่การที่จำเลยกล่าวอภิปรายในที่ประชุมสมาชิกสภาเทศบาลเมืองพิษณุโลกมิใช่เป็นการกระทำในหน้าที่ราชการของนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองพิษณุโลก และถ้อยคำที่จำเลยกล่าวก็เป็นการกล่าวติชมด้วยความเป็นธรรมในฐานะที่จำเลยเป็นผู้เสนอญัตติและเพื่อให้สมาชิกสภาเทศบาลเมืองพิษณุโลกรับทราบเรื่องที่จำเลยได้เสนอเข้าพิจารณาในที่ประชุม จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและหมิ่นประมาทโจทก์
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การที่นายดุสิต สิทธิฤทธิ์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นทำคำพิพากษาโดยมิได้นั่งพิจารณาสืบพยานโจทก์โดยตลอดคงทำการและจดรายงานกระบวนพิจารณาในครั้งสุดท้ายเพียงครั้งเดียวเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้นายดุสิตจะมิได้นั่งพิจารณาสืบพยานโจทก์ในครั้งก่อน ๆ แต่คดีก็ยังมิได้มีคำพิพากษาถือว่าคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ทั้งปรากฏว่าในวันที่นายดุสิตนั่งพิจารณาตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่17 เมษายน 2530 มีการเจรจาเพื่อตกลงกันโดยศาลช่วยไกล่เกลี่ยและศาลเห็นว่าตามที่คู่ความเจรจากันมีทางตกลงกันได้ โจทก์ขอเวลาไปคิดไตร่ตรองเพื่อตัดสินใจ ขอให้ศาลเลื่อนการฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งไปก่อนเช่นนี้ถือได้ว่านายดุสิตเป็นผู้นั่งพิจารณาคดีนี้ด้วย จึงมีอำนาจทำคำพิพากษาและลงชื่อในคำพิพากษาได้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share