คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ร้องจดทะเบียนรับโอนรถยนต์ของกลางมาจากผู้ให้เช่าซื้อหลังจากทราบว่าจำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำผิดและถูกเจ้าพนักงานยึดไว้ ส่อให้เห็นความไม่สุจริตของผู้ร้องทั้งคดียังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด จึงคืนรถยนต์ของกลางที่สั่งริบให้ผู้ร้องไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ริบไม้สักแปรรูปและรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่ารถยนต์ของกลางเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง จำเลยนำรถยนต์คันดังกล่าวไปกระทำผิดโดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วย ขอให้สั่งคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง โจทก์คัดค้านว่าขณะเกิดเหตุผู้ร้องมิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลาง หากเป็นเจ้าของก็รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้คืนรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะแล้ว มีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางและมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของผู้ร้องเท่าที่นำสืบในชั้นไต่สวนคงมีตัวผู้ร้องคนเดียวเบิกความลอย ๆ ว่า ผู้ร้องได้เช่าซื้อรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.2712เชียงใหม่ จากห้างหุ้นส่วนจำกัดช้างม่อยเครื่องยนต์ ในราคา15,000 บาท ได้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้ห้างดังกล่าวหมดแล้วตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2529 โดยไม่มีหลักฐานสัญญาเช่าซื้อและหลักฐานการชำระเงินค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายมาแสดงเพื่อสนับสนุนคำของผู้ร้อง จึงฟังไม่ได้ว่า ผู้ร้องได้ชำระเงินค่าเช่ซื้อหมดและกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่เช่าซื้อได้โอนมาเป็นของผู้ร้องแล้วตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2529 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง แม้ผู้ร้องจะมีหลักฐานในคู่มือการจดทะเบียนตามเอกสารหมาย ร.1 มาแสดงว่าได้รับโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางมาเป็นของผู้ร้องแล้ว โดยจดทะเบียนรับโอนมาเมื่อวันที่ 25เมษายน 2529 ซึ่งเป็นระยะเวลาภายหลังที่จำเลยได้นำรถยนต์ของกลางไปกระทำผิดและเจ้าพนักงานได้ยึดรถยนต์ของกลางไว้แต่ได้ความจากคำเบิกความของผู้ร้องว่า ผู้ร้องได้บอกเจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าพนักงานป่าไม้แล้วว่ารถยนต์ของกลางเป็นของตนแต่ผู้ร้องไม่อาจนำทะเบียนรถยนต์มาแสดงได้โดยอ้างว่า ขณะนั้นทะเบียนดังกล่าวอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ แสดงว่าขณะนั้นผู้ร้องยังไม่ได้จดทะเบียนรับโอนรถยนต์ของกลางมาจากผู้ให้เช่าซื้อการที่ผู้ร้องรับโอนทะเบียนรถยนต์ของกลางหลังจากทราบว่าจำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดและถูกเจ้าพนักงานยึดไว้ส่อให้เห็นความไม่สุจริตของผู้ร้อง ทั้งคดียังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share