แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โฉนดที่ดินพิพาทมีชื่อ ท.ภริยาจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว ในเบื้องต้น ท. ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว เมื่อโจทก์คัดค้านว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ท. โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบให้เห็นตามข้อกล่าวอ้าง ท.ภริยาจำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดพิพาทไว้แก่ผู้ร้อง โดยผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองไม่ทราบว่า จำเลยมี ส่วนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทอยู่ครึ่งหนึ่งผู้ร้องจึงมิได้ให้ท.นำจำเลยมาให้ความยินยอมในการทำนิติกรรมจำนองที่ดินพิพาทตามระเบียบ และเมื่อโจทก์มิได้สืบพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ร้องรับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยไม่สุจริตจึงต้องถือว่าผู้ร้องรับจำนองโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ดังนี้ การจำนองดังกล่าวจึงสมบูรณ์และมีผลผูกพันที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์จำนองทั้งหมดทุกส่วน ผู้ร้องจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้จำนองจากที่ดินโฉนดพิพาททั้งหมดก่อนเจ้าหนี้อื่น
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ยึดโฉนดเลขที่ 48844 ตำบลเหมืองง่า อำเภอลำพูน จังหวัดลำพูนเนื้อที่ 63 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า นางทองม้วน สุภาวงศ์ ภริยาจำเลยกู้เงินจากผู้ร้องจำนวน 1,000,000 บาท และจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวเป็นประกันวงเงิน 400,000 บาท ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิ์ชอบที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญ ขอให้ผู้ร้องมีสิทธิรับเงินจากการขายที่ดินดังกล่าวก่อนเจ้าหนี้อื่น
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ทรัพย์สินที่โจทก์ยึดเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางทองม้วน นางทองม้วนทำสัญญาจำนองเป็นประกันโดยจำเลยไม่ได้ให้ความยินยอม นางทองม้วนจึงต้องรับผิดต่อผู้ร้องเพียงเฉพาะส่วนของนางทองม้วนผู้ร้องจึงมีบุริมสิทธิเพียงกึ่งหนึ่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากทรัพย์สินที่จำนองกึ่งหนึ่งก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาผู้ร้องว่าผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จำนองจากที่ดินพิพาททั้งหมดก่อนเจ้าหนี้อื่นหรือไม่ เห็นว่าโฉนดที่ดินพิพาทมีชื่อนางทองม้วนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว ในเบื้องต้นนางทองม้วนย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว เมื่อโจทก์คัดค้านว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางทองม้วน ผู้ร้องมีบุริมสิทธิเพียงกึ่งหนึ่ง โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบให้เห็นตามข้อกล่าวอ้าง แต่โจทก์เพียงเบิกความลอย ๆ ว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทอยู่ครึ่งหนึ่ง โดยโจทก์ไม่ได้นำจำเลยมาเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของตน และไม่ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์ว่าผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองได้ทราบเช่นนั้น นอกจากนี้ยังได้ความว่านางทองม้วนหย่าขาดกับจำเลยตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน2536 ตามเอกสารหมาย ร.4 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1/2536 ของศาลจังหวัดลำพูน ต่อมาวันที่ 19 ตุลาคม 2536 ภายหลังหย่าขาดกัน นางทองม้วนกู้ยืมเงินจากผู้ร้องจำนวน 1,000,000 บาท ตามสัญญากู้เอกสารหมาย ร.3 โดยสัญญากู้เงิน ข้อ 8 นางทองม้วน ได้ให้คำรับรองแก่ผู้ร้องว่า นางทองม้วนเป็นเจ้าของที่ดินที่จำนองแต่ผู้เดียว กรณีมีเหตุน่าเชื่อว่าผู้ร้องไม่ทราบผู้ร้องจึงมิได้ให้นางทองม้วนนำจำเลยมาให้ความยินยอมในการทำนิติกรรมจำนองที่ดินพิพาทตามระเบียบของผู้ร้องอีกและในวันเดียวกันก็ได้รับจำนองที่ดินพิพาทไว้เพื่อประกันหนี้เงินกู้ดังกล่าวของนางทองม้วน วงเงิน 400,000 บาท ตามหนังสือสัญญาจำนองเอกสารหมาย ร.6 เมื่อโจทก์มิได้กล่าวในคำคัดค้านหรือนำสืบพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ร้องรับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยไม่สุจริต จึงต้องถือว่าผู้ร้องรับจำนองโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ดังนี้การจำนองดังกล่าวจึงสมบูรณ์และมีผลผูกพันที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์จำนองทั้งหมดทุกส่วนผู้ร้องจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้จำนองจากที่ดินพิพาททั้งหมดก่อนเจ้าหนี้อื่น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากที่ดินพิพาททั้งหมดก่อนเจ้าหนี้อื่น