คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2631/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์เพื่อทำการสอบสวนโจทก์เรื่องกระทำผิดอาญาต่อจำเลย แม้จำเลยมิได้จ่ายค่าจ้างในระหว่างพักงานแก่โจทก์สภาพการจ้างระหว่างโจทก์จำเลยก็ยังมีอยู่จนกว่าจำเลยจะมีคำสั่งเลิกจ้างต่อมาเมื่อจำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยให้การเลิกจ้างมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่จำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์เป็นต้นไป ดังนี้ สภาพการจ้างระหว่างโจทก์จำเลยย่อมเป็นอันสิ้นสุดลง โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างนับแต่วันที่การเลิกจ้างมีผล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย ต่อมาวันที่ 1พฤศจิกายน 2527 จำเลยสั่งพักงานโจทก์ และเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม2528 จำเลยปลดโจทก์ออกจากงานโดยไม่มีความผิด ไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จ่ายค่าชดเชยโดยให้มีผลตั้งแต่วันสั่งพักงานจึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย โบนัส ค่าเสียหายระหว่างพักงานกับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยจะปลดโจทก์ออกจากงานเนื่องจากลักทรัพย์นายจ้าง แต่โจทก์ขอให้จำเลยสอบสวนข้อเท็จจริงโดยไม่ขอรับเงินเดือนและขอให้สั่งพักงาน จำเลยจึงสั่งพักงานโจทก์และสอบสวนแล้ว เห็นว่า โจทก์กระทำผิดจริงและทราบว่าโจทก์มีประวัติเสียหายขณะรับราชการซึ่งโจทก์ปกปิดมิได้กรอกข้อความไว้ในใบสมัครงาน จำเลยจึงปลดโจทก์ออกจากงานโดยให้มีผลตั้งแต่วันสั่งพักงานเป็นต้นไป การเลิกจ้างของจำเลยเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ลักทรัพย์จำเลย แต่โจทก์ปกปิดประวัติการทำงาน จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์อันเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างพักงานและไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จตามข้อบังคับของจำเลย พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ากับค่าชดเชยแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยคำขออื่นให้ยกโจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเพียงประการเดียวว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างที่จำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์เกินกว่า 7 วันโดยไม่จ่ายค่าจ้างไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้าง และคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2527 ซึ่งเป็นวันสั่งพักงานไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่มีผลบังคับ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างตั้งแต่วันสั่งพักงานจนถึงวันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ พิเคราะห์แล้ว ได้ความว่าจำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2527 จนถึงวันที่ 6 ธันวาคม 2528 จำเลยจึงมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยให้การเลิกจ้างมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2527 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยมีคำสั่งพักงาน ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยมีคำสั่งพักงานก็เพื่อจะทำการสอบสวนโจทก์เรื่องกระทำความผิดอาญาต่อจำเลยแม้จำเลยมิได้จ่ายค่าจ้างในระหว่างพักงานให้แก่โจทก์ก็ตามสภาพการจ้างระหว่างโจทก์จำเลยยังคงมีอยู่จนกว่าจะมีคำสั่งเลิกจ้าง ดังนั้น การที่จำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้าง และเมื่อจำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1โดยให้การเลิกจ้างมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2527 เป็นต้นไปเท่ากับจำเลยบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน สภาพการจ้างระหว่างโจทก์จำเลยเป็นอันสิ้นสุดลง ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนการเลิกจ้างนั้นจะเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยตามบทกฎหมายอื่นนั้นเป็นอีกกรณีหนึ่ง ดังที่ศาลแรงงานกลางได้พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานให้แก่โจทก์แล้ว การเลิกจ้างของจำเลยจึงมิใช่เป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังข้ออุทธรณ์ของโจทก์ไม่ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน2527 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างจากจำเลยอีกต่อไปนับแต่วันเลิกจ้างนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share