คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีนี้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์จำนวน 9 ส่วนใน 21 ส่วน ในระหว่างบังคับคดีโจทก์ จำเลยทั้งสี่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยศาลชั้นต้นรับรู้เป็นผู้ทำให้มีข้อตกลงกันไม่ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาคดีนี้และให้ยุติคดีทุกคดีทั้งคดีที่พิพากษาแล้วและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินกันใหม่ เมื่อโจทก์จำเลยทั้งสี่ได้ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวต่อหน้าศาลแล้ว จึงเป็นสัญญาที่ใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 โดยมีผลทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 การบังคับคดีนี้และมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงเป็นอันระงับสิ้นไปโจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว เมื่อจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยตามสิทธิที่เกิดขึ้นตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจะกลับมาขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งมูลหนี้ระงับไปแล้วหาได้ไม่

ย่อยาว

เดิมศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิได้รับมรดก 9 ใน 21 ส่วนโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความในชั้นบังคับคดี ให้แบ่งทรัพย์สินกันโดยไม่ให้บังคับคดีตามคำพิพากษา หลังจากนั้นจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความบางข้อ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า ศาลพิพากษาให้โจทก์ล้มละลายแล้ว จึงขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา เพราะถือว่าจำเลยทำผิดสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยค้านว่าสิทธิในการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีการะงับไปแล้ว ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ได้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์จำนวน 9 ส่วน ใน 21 ส่วนคิดเป็นราคาประมาณ 19 ล้านบาทเศษ ในระหว่างบังคับคดี โจทก์จำเลยทั้งสี่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยศาลชั้นต้นรับรู้เป็นผู้ทำให้มีข้อตกลงกันไม่ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาคดีนี้ และให้ยุติคดีทั้งคดีที่พิพากษาแล้วและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินกันใหม่ เมื่อโจทก์จำเลยทั้งสี่ได้ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวต่อหน้าศาลแล้วจึงเป็นสัญญาที่ใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850โดยมีผลทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญานั้นว่าเป็นของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 ดังนั้น เมื่อโจทก์จำเลยทั้งสี่ตกลงกันไม่ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาคดีนี้ และให้ยุติคดีทุกคดีทั้งคดีที่พิพากษาแล้ว (รวมทั้งคดีนี้ด้วย) และคดีที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล การบังคับคดีนี้และมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงเป็นอันระงับสิ้นไป ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่626/2491 ระหว่าง นายชัยวัฒน์ เศรษฐพานิชย์ กับพวก โจทก์นายทรัพย์ รำพึงกิจ กับพวก จำเลย โจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว เมื่อจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์ หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยตามสิทธิที่เกิดขึ้นตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น จะกลับมาขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งมูลหนี้ระงับไปแล้วหาได้ไม่ ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share