คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 หากโจทก์เห็นว่าการงดสืบพยานไม่ถูกต้อง โจทก์จะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ เมื่อโต้แย้งแล้วจึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในหนึ่งเดือนนับแต่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) เมื่อนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าวจนถึงวันนัดฟังคำพิพากษานานประมาณ 45 วัน มีเวลาที่โจทก์จะโต้แย้งได้ ก็หาโต้แย้งไม่ และที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์โจทก์ไว้ซึ่งมีประเด็นที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์รวมอยู่ด้วยก็ไม่ทำให้ประเด็นที่ไม่มีสิทธิอุทธรณ์กลับเป็นมีสิทธิอุทธรณ์ขึ้นได้ โจทก์จึงฎีกาปัญหาข้อนี้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 242(1) และมาตรา 247
โจทก์เคยเบิกความเกี่ยวกับเรื่องทางพิพาทในคดีอื่นยอมรับว่าถ้าจะใช้ทางพิพาทจะต้องขออนุญาตจาก ส. เจ้าของที่ดินเดิมก่อนเป็นการยอมรับในสิทธิของทางพิพาทว่าเป็นของส. และในวันชี้สองสถานโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ได้เบิกความไว้จริง โจทก์ก็มิได้กล่าวอ้างว่าคำเบิกความของตนไม่ถูกต้องทั้งมิได้คัดค้านการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานเพื่อขอนำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น คำเบิกความของโจทก์ในคดีดังกล่าวจึงนำมารับฟังในคดีนี้ได้ว่า โจทก์ต้องขออนุญาตใช้ทางพิพาทจากบุคคลอื่นเมื่อทางพิพาทเปลี่ยนกรรมสิทธิ์มาเป็นของจำเลย จำเลยย่อมได้รับประโยชน์นั้นด้วยแม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทนานเท่าใด ก็อ้างสิทธิเป็นทางภาระจำยอมหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 35234 ตามฟ้องเป็นที่ดินภาระจำยอม ให้จำเลยรื้อถอนเพิงออกจากที่ดินดังกล่าวให้จดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอม ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการ และว่าโจทก์ไม่มีสิทธิใช้ที่ดินโฉนดเลขที่ 35234 แปลงพิพาทของจำเลยเป็นทางผ่านเข้าออกตามฟ้องโจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสอบคู่ความและแถลงรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์เคยเบิกความเป็นพยานในคดีของศาลแพ่งหมายเลขดำที่ 396/2525 คดีหมายเลขแดงที่ 13011/2526 และคดีนั้นศาลพิพากษายกฟ้องปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาท้ายคำให้การจำเลยจริงศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ให้งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่า ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยเป็นการชอบหรือไม่และทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ปัญหาข้อแรกได้ความว่าโจทก์ยอมรับในวันชี้สองสถานตามรายงานกระบวนพิจารณาศาลชั้นต้นลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2527 ว่านายไสว อยู่เกิด เคยเป็นโจทก์ฟ้องนางสง่า เลาหะกาญจน์ กับพวกในคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 13011/2526 คดีนั้นโจทก์ได้เบิกความเป็นพยานไว้ด้วยตามสำเนาคำเบิกความโจทก์กับสำเนาคำพิพากษาคดีดังกล่าว ที่จำเลยแนบมาพร้อมคำให้การจริง และโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าคำเบิกความของตนไม่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยคู่ความไม่ต้องสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 10 เมษายน 2527 คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226หากโจทก์เห็นว่าการงดสืบพยานไม่ถูกต้องควรดำเนินการพิจารณาต่อไปโจทก์จะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ เมื่อโต้แย้งแล้วจึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในหนึ่งเดือนนับแต่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) แต่ปรากฏว่านับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าวจนถึงวันนัดฟังคำพิพากษานานประมาณ 45 วัน มีเวลาที่โจทก์จะโต้แย้งได้ ก็หาโต้แย้งไม่ และที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์โจทก์ไว้ซึ่งมีประเด็นที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์รวมอยู่ด้วย ก็ไม่ทำให้ประเด็นที่ไม่มีสิทธิอุทธรณ์กลับเป็นมีสิทธิอุทธรณ์ขึ้นได้โจทก์จึงฎีกาปัญหาข้อนี้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242 (1) และมาตรา 247 ส่วนปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่นั้นเห็นว่า เมื่อโจทก์รับว่าโจทก์ได้เบิกความเกี่ยวกับเรื่องทางพิพาทมาก่อนในสำนวนของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 13011/2528 ตามเอกสารหมาย ล.2 และคำเบิกความดังกล่าวโจทก์ยอมรับว่าถ้าจะใช้ทางพิพาทจะต้องขออนุญาตจากนายไสว อยู่เกิด เจ้าของที่ดินเสียก่อนแล้วเป็นการยอมรับในสิทธิของทางพิพาทว่าเป็นของนายไสว อยู่เกิด และในวันชี้สองสถานที่โจทก์ยอมรับว่าโจทก์ได้เบิกความไว้จริง โจทก์ก็มิได้กล่าวอ้างว่าคำเบิกความของตนไม่ถูกต้อง ทั้งมิได้คัดค้านการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานเพื่อขอนำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นคำเบิกความของโจทก์ในคดีดังกล่าวจึงนำมารับฟังในคดีนี้ได้ว่า โจทก์ต้องขออนุญาตใช้ทางพิพาทจากบุคคลอื่น เมื่อทางพิพาทเปลี่ยนกรรมสิทธิ์มาเป็นของจำเลย จำเลยย่อมได้รับประโยชน์นั้นด้วย แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทนานเท่าใด ก็อ้างสิทธิเป็นทางภาระจำยอมหาได้ไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share