คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การมีถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มิใช่การกระทำอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 11,48,54 และ 69 รถยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะขนถ่านไม้ดังกล่าวจึงไม่อยู่ในข่ายอันจะพึงริบได้ตามมาตรา74 ทวิ แต่ศาลนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 มาใช้บังคับในการที่จะริบรถยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองเกินกว่าปริมาณที่กำหนดไว้ให้มีได้โดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 29 ทวิ,71 ทวิ, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 ริบของป่าหวงห้ามและรถยนต์ของกลาง จ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯมาตรา 29 ทวิ, 71 ทวิ, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงปรับ 300 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนริบถ่านไม้และรถยนต์ของกลางจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยอุทธรณ์ไม่ให้ริบรถยนต์ของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าไม่ริบรถยนต์ของกลางนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาให้ริบรถยนต์ของกลาง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การริบทรัพย์สินอันเนื่องจากการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มีบัญญัติไว้ในมาตรา74 และ 74 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่4) พ.ศ. 2503 มาตรา 18 โดยเฉพาะของกลางที่เป็นยานพาหนะได้มีบัญญัติไว้ในมาตรา 74 ทวิ ว่า ‘บรรดาเครื่องมือ เครื่องใช้สัตว์พาหนะ หรือเครื่องจักรกลใดๆ ซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำผิด หรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา 11 มาตรา 48 มาตรา 54 หรือมาตรา 69 ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่’ เห็นว่า การกระทำความผิดตามมาตรา 11, 48, 54 และ 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำต่อไม้หวงห้าม การแปรรูปไม้ การทำลายป่าและการมีไม้หวงห้ามซึ่งบัญญัติถึงการกระทำแต่ละลักษณะของการกระทำความผิดที่บัญญัติไว้ในแต่ละมาตราดังกล่าว สำหรับกรณีนี้ การมีถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอันมิใช่การกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา 11, 48, 54, 69 รถยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะจึงไม่อยู่ในข่ายอันจะพึงริบได้ตามมาตรา 74 ทวิ อย่างไรก็ตามศาลฎีกาเห็นว่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้นี้แม้จะมีบทบัญญัติเกี่ยวแก่การริบทรัพย์ไว้เป็นพิเศษ แต่ก็ไม่มีข้อความใดบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นอันจะแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการให้นำบทบัญญัติในภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาใช้บังคับ ศาลจึงนำเอาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 มาใช้บังคับในการที่จะริบรถยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดตามมาตรา 17 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แต่การริบของกลางตามมาตรา 33 นั้น เป็นดุลพินิจของศาล คดีนี้จำเลยใช้รถยนต์ของกลางบรรทุกถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้ามเกินกว่าปริมาณที่กฎหมายอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองโดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานเพียงเล็กน้อย จึงเห็นว่าไม่ควรริบรถยนต์ของกลาง
พิพากษายืน.

Share