แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เสพสุราอยู่ในลักษณะมึนเมาและอาจจะมีเหตุกินใจกันมาก่อน จำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 2ได้รับบาดเจ็บจำเลยที่ 2 จึงยิงจำเลยที่ 1 เป็นการแก้แค้น การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนตามกฎหมายแต่การที่จำเลยที่ 2 ถูกจำเลยที่ 1 ยิงก่อนถือได้ว่าจำเลยที่ 2ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ฐานพยายามฆ่าและความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานพยายามฆ่า 10 ปี และความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ 1 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 ฐานพยายามฆ่า10 ปี และความผิดตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ 5 เดือน จำเลยที่ 2อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 ผิดฐานพยายามฆ่าประกอบเหตุบันดาลโทสะ จำคุก 5 ปี โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในลักษณะมึนเมาสุราและอาจจะมีเหตุกินใจกันมาก่อน จึงได้เกิดยิงกันขึ้นโดยจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายยิงก่อน แล้วจำเลยที่ 2 จึงยิงจำเลยที่ 1 เป็นการแก้แค้น มิใช่เป็นการป้องกันสิทธิของตนและคงจะมิใช่ต่างคนต่างยิงกันดังที่โจทก์ฎีกา เพราะตามข้อนำสืบของโจทก์ไม่มีพยานโจทก์คนใดรู้เห็นชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองต่างสมัครใจยิงทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันโดยการวิวาทโต้เถียงแต่ประการใดศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ยิงจำเลยที่ 1 หลังจากที่ถูกจำเลยที่ 1 ยิงแล้วเช่นนี้ ก็เนื่องจากจำเลยที่ 2 บันดาลโทสะที่ถูกจำเลยที่ 1 ยิงก่อน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมเพราะอาวุธปืนนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่าสามารถประทุษร้ายร่างกายให้ถึงแก่ความตายได้การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ประกอบด้วย มาตรา 72 ดังศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน