คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1950/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดร่วมกับจำเลยและผู้มีชื่อตามที่ระบุไว้ในคำฟ้องโดยโจทก์ได้รับการยกให้จากมารดา และโจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทปรากฏเขตตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนสัดมากกว่า 10 ปี จำเลยไม่ยอมแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองให้โจทก์ดังนี้เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม
แม้ฟ้องโจทก์จะบรรยายว่า โฉนดที่พิพาทมีชื่อโจทก์จำเลยล. และ ท. ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แต่ในทางพิจารณาได้ความว่ามีชื่อ ร. ในโฉนดที่พิพาทด้วย ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณาแตกต่างไปจากฟ้องเพราะ ร. ซึ่งมีชื่อในโฉนดที่พิพาทด้วยเป็นที่จำเลยได้รับมรดกที่พิพาทจากบิดามารดาเช่นเดียวกับจำเลยแต่บวชเป็นพระภิกษุ ไม่เคยครอบครองที่พิพาทและได้ยกกรรมสิทธิ์ส่วนของตนให้จำเลยก่อนโจทก์ฟ้องแล้ว ดังนั้นจึงหาเกี่ยวกับที่พิพาทในส่วนที่โจทก์ได้รับการยกให้และครอบครองมากกว่า 10 ปีไม่จึงไม่ทำให้ฟ้องเสียไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนดพิพาท ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทมีชื่อโจทก์จำเลย นายหล่ำ ยิ้มถนอมและนายทองม้วน เลี้ยงรักษาถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน เจ้าของร่วมต่างได้แบ่งแยกกันครอบครองเป็นส่วนสัด โดยโจทก์ครอบครองส่วนของตนโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า 10ปีแล้ว ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเจ้าของร่วมทุกคนได้ยื่นขอแบ่งแยกโฉนดที่ดินตามส่วนของตนต่อเจ้าพนักงานที่ดินแต่จำเลยคัดค้านทำให้โจทก์ไม่สามารถแบ่งแยกที่ดินส่วนของโจทก์ได้ ขอให้จำเลยไปยื่นคำขอแบ่งขายที่ดินพิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องไม่ทราบว่าส่วนของตนอยู่ตอนใดของที่ดิน หรือมีเนื้อที่เท่าใด โจทก์ครอบครองทำกินโดยอาศัยสิทธิในทายาทที่ได้รับมรดกมาเฉพาะส่วนของโจทก์ มิได้ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของเกิน 10ปี จำเลยไม่มีเจตนาสละกรรมสิทธิ์ส่วนของตนฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินร่วมกับโจทก์เพื่อรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามแผนที่พิพาทให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ร่วมในที่พิพาทอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครองปรปักษ์แต่ไม่ได้บรรยายว่า โจทก์ครอบครองที่ดินในส่วนของผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมคนใดหรือส่วนไหนที่เป็นของจำเลย มีเนื้อที่เท่าไร ทำให้จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีได้ถูกต้องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดร่วมกับจำเลย และผู้มีชื่อตามที่ระบุไว้ในคำฟ้อง โดยโจทก์ได้รับการยกให้จากมารดาโจทก์ และโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทปรากฏมีเขตตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนสัดมากกว่า 10 ปีจำเลยไม่ยอมแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองให้โจทก์เห็นได้ชัดแจ้งว่าไม่มีข้อความตอนใดเคลือบคลุมอันจะเป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้หรือไม่เข้าใจฟ้องแต่อย่างใด ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่ามีชื่อโจทก์ จำเลยนายหล่ำ และนายทองม้วน ในโฉนดที่พิพาท แต่ความจริงแล้วยังมีชื่อนายหริ่มในโฉนดที่พิพาทด้วย ข้อเท็จจริงทางพิจารณาแตกต่างไปจากฟ้อง แสดงว่าไม่มีการครอบครองปรปักษ์ในระหห่างผู้มีชื่อในโฉนดที่พิพาทตามฟ้อง เห็นว่าได้ความจากจำเลยว่า นายหริ่มบวชเป็นพระภิกษุไม่เคยครอบครองที่ดินส่วนไหนในโฉนดที่พิพาท และได้ยกกรรมสิทธิ์ส่วนของตนให้แก่จำเลยก่อนโจทก์ฟ้อง ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.3นายหริ่มมีชื่อในโฉนดที่พิพาทก็เพราะเป็นที่จำเลย ได้รับมรดกที่พิพาทจากบิดามารดาเหมือนจำเลย ดังนี้แม้จำเลยได้รับการยกให้ที่ดินในส่วนที่นายหริ่มมีสิทธิในโฉนดที่พิพาทก็หาเกี่ยวกับที่พิพาทในส่วนของโจทก์ที่ได้รับการยกให้จากมารดาโจทก์ และโจทก์ครอบครองทำประโยชน์มากกว่า10 ปีไม่ ข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณา จึงไม่แตกต่างไปจากขณะโจทก์ฟ้องหรือทำให้ฟ้องเสียไปแต่อย่างใดเมื่อจำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนดที่พิพาท ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องได้
พิพากษายืน.

Share