แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ประกอบกิจการรับประกันวินาศภัยและประกันชีวิตโจทก์ได้นำเงินที่กันไว้ไปลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทอื่นด้วยถือได้ว่าหุ้นเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของโจทก์ โจทก์ไม่ได้ขายหุ้นแต่ปรากฏในบัญชีงบดุลในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของโจทก์ว่าโจทก์ได้เพิ่มราคาหุ้นตามมูลค่าที่ควรจะเป็นไว้การกระทำดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการตีราคาเพิ่มขึ้นตามนัยแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ(3) หุ้นมิใช่สินค้าคงเหลือ ราคาหุ้นโจทก์จึงต้องถือตามราคาที่พึงซื้อทรัพย์สินได้ตามปกติ เมื่อโจทก์ประกอบกิจการมีกำไรสุทธิจึงไม่ต้องห้ามมิให้ตีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา65 ทวิ(3) โจทก์จะตีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นหรือไม่เป็นสิทธิ ของโจทก์ที่จะเลือก เมื่อโจทก์ตีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นและนำลงไว้ใน งบดุลซึ่งยื่นประกอบรายการเสียภาษีอย่างเป็นทางการ โจทก์จึงต้องนำราคาหุ้นส่วนที่โจทก์ตีราคาเพิ่มขึ้นมารวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีแต่ละปี ในปี 2516 และ 2517 ราคาหุ้นที่ซื้อไว้มีราคาเพิ่มขึ้น แต่โจทก์ไม่ถือว่าเป็นรายได้ และไม่ลงไว้ในงบกำไรขาดทุนเพราะเป็นสิ่งไม่แน่นอน คงนำไปลงบัญชีเจ้าหนี้เท่านั้น ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินได้นำราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นไปรวมเป็นกำไร และประเมินให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มขึ้น โจทก์อุทธรณ์แล้วคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ วินิจฉัยว่าการประเมินถูกต้อง โจทก์ไม่เห็นด้วย จึงขอให้ยกเลิกการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว จำเลยให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ถูกต้องแล้ว ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่คู่ความแถลงรับกันในวันชี้สองสถาน และตามทางนำสืบของทั้งสองฝ่ายว่า โจทก์ประกอบกิจการรับประกันวินาศภัยและประกันชีวิตโจทก์ได้นำเงินที่กันไว้ไปลงทุนซื้อและขายหุ้นของบริษัทอื่นด้วยถือได้ว่าหุ้นเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของโจทก์ราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง โจทก์ไม่ได้ขายหุ้นในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2516 ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นจากในปี 2515เป็นเงิน 350,000 บาท โจทก์จึงแสดงราคาหุ้นตามมูลค่าที่ควรจะเป็น ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีปี 2516 เพิ่มสูงขึ้นอีก350,000 บาท รวมไว้ในด้านทรัพย์สินของบัญชีงบดุล และในด้านหนี้สินของบัญชีงบดุลโจทก์ก็ได้แสดงไว้เป็นเงินสำรองเพื่อการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น และในวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีปี 2517ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นจากในปี 2516 เป็นเงิน 1,599,261.25 บาทโจทก์จึงแสดงราคาหุ้นตามมูลค่าที่ควรจะเป็น ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีปี 2517 เพิ่มสูงขึ้นอีก 1,599,261.25 บาท รวมไว้ในด้านทรัพย์สินของบัญชีงบดุล และในด้านหนี้สินของบัญชีงบดุล โจทก์ก็ได้แสดงไว้เป็นเงินสำรองเพื่อการเปลี่ยนแปลงราคาของเงินลงทุน(หุ้น) แต่การแสดงราคาหุ้นตามมูลค่าที่ควรจะเป็นดังกล่าว โจทก์ไม่ได้แสดงไว้ในบัญชีกำไรขาดทุน และไม่ได้นำราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวไปรวมคำนวณเป็นกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี ปี 2516 และปี 2517 ต่อมาปี 2520โจทก์ขายหุ้นทั้งหมดได้กำไรโดยคิดจากต้นทุนเดิม โจทก์ก็ได้นำส่วนกำไรไปคำนวณเป็นกำไรสุทธิและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว ปัญหาวินิจฉัยมีว่าการตีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นในปี 2516และปี 2517 นั้น โจทก์จะต้องนำจำนวนเงินส่วนที่เพิ่มขึ้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ในปีดังกล่าวหรือไม่ ปรากฏในบัญชีงบดุลของโจทก์ปี 2516 และ 2517 ตามเอกสารหมายล.1 และ ล.3 ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของโจทก์ว่า โจทก์ได้เพิ่มราคาหุ้นตามมูลค่าที่ควรจะเป็นไว้โดยถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนหนึ่งของโจทก์ด้วย แม้จะมิใช่ทรัพย์สินประเภทที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ทั้งไม่ปรากฏว่าเป็นการตีราคาโดยผู้ประกอบวิชาชีพอิสระในการตีราคาทรัพย์สินหรือไม่ก็ตาม แต่โจทก์ก็ยอมรับเอาว่า ราคาหุ้นอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์ นั้นมีมูลค่าค่อนข้างจะแน่นอนในขณะที่โจทก์แสดงไว้ในงบดุลนั้นแล้ว ดังนั้นการกระทำดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการตีราคาเพิ่มขึ้นตามนัยแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 65ทวิ(3) นั่นเองที่โจทก์แก้อุทธรณ์บ่ายเบี่ยงไปว่า เป็นการปรับราคามิใช่เป็นการตีราคาเพิ่มขึ้นนั้นฟังไม่ขึ้นตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 บัญญัติไว้ว่า เงินได้ที่ต้องเสียภาษีคือกำไรสุทธิซึ่งนอกจากจะเป็นเงินได้ที่แท้จริงแล้ว การคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขในมาตรา 65 ทวิ ด้วยในส่วนที่เกี่ยวกับการตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้นนั้น ต้องเป็นไปตามที่มาตรา 65 ทวิ(3) กำหนด ศาลฎีกาเห็นว่า การตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ราคาส่วนที่เพิ่มขึ้นจากราคาทุนนั้นย่อมถือว่าเป็นกำไรที่จะต้องนำมารวมคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของกิจการด้วยเพราะมีผลทำให้ยอดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นหรือยอดขาดทุนสุทธิลดลงในกรณีตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้น มาตรา 65 ทวิ(3) บัญญัติว่า”ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจาก (6) ให้ถือตามราคาที่พึงซื้อทรัพย์สินนั้นได้ตามปกติ และห้ามมิให้ตีราคาเพิ่มขึ้น เว้นแต่ในกรณีที่แม้จะมิได้มีการตีราคาเพิ่มขึ้นก็ยังมีกำไรสุทธิอยู่”ทรัพย์สินตามข้อ (6) ดังกล่าว คือสินค้าคงเหลือมิใช่ทรัพย์สินดังเช่นหุ้นของโจทก์ในคดีนี้ ดังนั้น เกี่ยวกับราคาหุ้นของโจทก์จึงต้องถือตามราคาที่พึงซื้อทรัพย์สินนั้นได้ตามปกติ แต่เนื่องจากกิจการของโจทก์มีกำไรสุทธิ กฎหมายจึงเปิดโอกาสให้มีการตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้นได้ตามความสมัครใจ กล่าวคือถ้าไม่ประสงค์จะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น ก็มีสิทธิถือราคาทรัพย์สินตามราคาเดิม แต่เมื่อโจทก์เลือกเอาในทางตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้น โจทก์ก็ต้องนำจำนวนเงินส่วนที่เพิ่มขึ้นนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยที่โจทก์แก้อุทธรณ์ว่าโจทก์ขายหุ้นทั้งหมดในปี 2520 และในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ปี 2520 โจทก์คำนวณราคาหุ้นจากราคาหุ้นทุนเดิมมิใช่จากราคาหุ้นที่โจทก์ตีราคาเพิ่มขึ้น ถ้าหากโจทก์ยอมเสียภาษีเงินได้จากราคาหุ้นที่แสดงไว้ในงบดุลตามที่เจ้าพนักงานทำการประเมินสำหรับปี 2516 และ 2517 แล้วโจทก์จะเสียภาษีเงินได้น้อยกว่าที่จะต้องเสียภาษีเงินได้ในตอนที่โจทก์ขายหุ้นไปจริงในปี 2520 นั้น เห็นว่า เป็นคนละปัญหาดังกล่าวคือโจทก์มีหน้าที่จะต้องเสียภาษีในแต่ละปีให้ถูกต้องตามกฎหมายกรณีที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดของโจทก์เอง หาเป็นเหตุที่จะทำให้โจทก์ไม่ต้องรับผิดเสียภาษีเงินได้อย่างถูกต้องในปี 2516 และ 2517 ดังที่เจ้าพนักงานทำการประเมินไม่ การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ของเจ้าพนักงานประเมินตลอดจนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงเป็นการชอบแล้ว ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง