คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกถูกฟ้องในคดีก่อนว่ากระทำความผิดที่โจทก์ฟ้อง ในคดีนี้ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ดังกล่าวไปแล้วศาลชั้นต้นสั่งให้แยกฟ้องจำเลยซึ่งให้การปฏิเสธและโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ กรณี จึงถือได้ว่าเป็นการพิจารณาและสืบพยานโดยเปิดเผยต่อหน้า จำเลยแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องพยานที่ได้สืบไว้แล้วอีกและให้นำสำนวนคดีเดิมมารวมกับคดีนี้เพื่อจะได้พิจารณาประกอบกับคดีนี้ จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวศาลหยิบยกเอาคำเบิกความของพยานในคดีเดิมขึ้นวินิจฉัย ประกอบพยานหลักฐานอื่น ๆ ของโจทก์ในคดีนี้แล้วฟังลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 289, 80, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี ลงโทษจำคุก 30 ปีคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนในข้อหานี้เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 24 ปี และมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ ฐานมี จำคุก 2 ปี ฐานพา จำคุก 1 ปี รวมเป็นจำคุกจำเลย27 ปี ข้อหานอกจากนี้ให้ยกฟ้อง จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าพันตำรวจตรีธรรมศักดิ์มิได้เบิกความเป็นพยานต่อหน้าจำเลยในคดีนี้ การที่ศาลอุทธรณ์รับฟังคำเบิกความดังกล่าวลงโทษจำเลยจึงไม่ชอบนั้น ได้ความว่าพันตำรวจตรีธรรมศักดิ์ได้เบิกความในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 197/2524หมายเลขคดีแดงที่ 71/2525 ของศาลชั้นต้น ขณะนั้นจำเลยนี้ยังเป็นจำเลยและถูกดำเนินคดีอยู่ในสำนวนคดีดังกล่าว ซึ่งจำเลยนี้กับพวกถูกฟ้องว่ากระทำความผิดที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ดังกล่าวไปแล้วศาลชั้นต้นสั่งให้แยกฟ้องจำเลยนี้ซึ่งให้การปฏิเสธและโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้กรณีจึงถือได้ว่าเป็นการพิจารณาและสืบพยานโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยแล้วทั้งเมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 30 มีนาคม 2525 ว่า คดีนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องสืบพยานที่ได้สืบไว้แล้วอีกและให้นำสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 197/2524 หมายเลขแดงที่ 71/2525 ของศาลชั้นต้นมารวมกับคดีนี้เพื่อจะได้พิจารณาประกอบกับคดีนี้จำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นแต่ประการใด การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกเอาคำเบิกความของพยานดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยประกอบพยานหลักฐานอื่น ๆ ของโจทก์ในคดีนี้แล้วฟังลงโทษจำเลยนั้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 แล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 โดยมิได้ระบุวรรคใดนั้นเห็นสมควรระบุเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสี่ ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share