คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1415/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมีปากเสียงกับผู้เสียหาย แล้วจำเลยถือมีดปลายแหลมตัวมีดยาว 6 นิ้ว วิ่งไล่แทงผู้เสียหายเป็นระยะทางประมาณ 100 เมตรเมื่อทันกันและผู้เสียหายล้ม จำเลยจ้วงแทงผู้เสียหายโดยแรง ด้วยมีดที่หน้าอก 2-3 ครั้งแต่ไม่ถูกเนื่องจากผู้เสียหายใช้กระดาน ไม้อัดปิดป้องและดันจำเลยออกไป การที่จำเลยใช้มีดปลายแหลมตัวมีดยาวถึง 6 นิ้ว เลือกแทงหน้าอกผู้เสียหายและแทงอย่างซ้ำซ้อนเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เมื่อจำเลยแทงไม่ถูกเพราะผู้เสียหายปิดป้องได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลม 1 เล่มเป็นอาวุธไล่แทงพยายามฆ่าผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 295 ริบมีดของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 295 ลงโทษจำคุก 8 เดือนริบมีดของกลาง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 288, 80 จำคุก 10 ปี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบและจำเลยรับในฎีกาว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยใช้มีดปลายแหลมตัวมีดยาว 6 นิ้วไล่แทงผู้เสียหาย ปัญหามีว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายหรือจะฆ่าผู้เสียหาย โจทก์มีนายวิชัย แซ่ลิ้มผู้เสียหาย ยืนยันว่าหลังจากพบและพูดต่อปากต่อคำกับจำเลยเกี่ยวกับนายบุญศิริแล้ว จำเลยเข้าไปในบังกาโลถือมีดของกลางออกมาไล่แทงผู้เสียหายเป็นระยะทางประมาณ 100 เมตรจึงทันและใช้มีดนั้นจ้วงแทงแรงพอประมาณไปที่อกผู้เสียหาย 2-3 ครั้งแต่ไม่ถูกเพราะผู้เสียหายมีกระดานไม้อัดปิดป้องและผลักจำเลยออกไปแล้วลุกหนีพร้อมกับพูดเตือนสติจำเลย จำเลยจึงกลับโจทก์มีคำให้การชั้นสอบสวนของนายบุญศิริ ดุริยะเสถียร กับนายวิเชียร ขวัญกลางซึ่งเป็นประจักษ์พยานแต่ไม่ได้ตัวมาเบิกความในชั้นศาล มาประกอบตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ตามลำดับ โดยร้อยตำรวจโทณรงค์ ไตรพรหม รับรองความถูกต้องแท้จริงแล้ว ปรากฏว่าพยานทั้งสองต่างยืนยันตรงกันกับผู้เสียหาย จึงทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน่าเชื่อ ส่วนจำเลยนำสืบตนเองปากเดียวปฏิเสธลอยและมิได้คัดค้านให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่อ้างในฎีกาว่าจำเลยแทงไม่แรงบ้าง ผู้เสียหายหยุดพูดปรับความเข้าใจกับจำเลยในระยะที่ใกล้พอจะแทงถึงแต่จำเลยไม่แทงบ้างจึงฟังไม่ขึ้น ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าหลังจากต่อปากต่อคำกับผู้เสียหายเกี่ยวกับนายบุญศิริแล้ว จำเลยกลับเข้าไปเอามีดปลายแหลมของกลาง ตัวมีดยาวประมาณ 6 นิ้ว มาไล่แทงผู้เสียหายเป็นระยะทางประมาณ 100 เมตร และจ้วงแทงโดยแรงพอประมาณที่หน้าอกผู้เสียหาย 2-3 ครั้งขณะผู้เสียหายล้ม แต่ไม่ถูกเพราะผู้เสียหายใช้กระดานไม้อัดปิดป้องและดันจำเลยออกไป จึงหนีเอาตัวรอดได้ ดังนี้ เห็นว่า การที่จำเลยหวนกลับเข้าไปเอามีดในบังกาโลก่อนครั้นผู้เสียหายกับพวกหนีจำเลยก็ยังวิ่งไล่แทงผู้เสียหายอย่างไม่ลดละเป็นระยะทางถึง 100 เมตร เมื่อทันกัน และผู้เสียหายล้ม จำเลยยังจ้วงแทงผู้เสียหายโดยแรงด้วยมีดของกลางที่หน้าอกอีก 2-3 ครั้งนั้นเป็นการแสดงเจตนาร้ายหมายชีวิตผู้เสียหายของจำเลยเป็นสำคัญ ประกอบกับการที่จำเลยใช้มีดปลายแหลมมีตัวมีดยาวถึง 6 นิ้วซึ่งเป็นอาวุธที่สามารถใช้ทำลายชีวิตคนได้และการที่จำเลยเลือกแทงหน้าอกผู้เสียหายซึ่งภายในมีแต่อวัยวะสำคัญอันจะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ และแทงอย่างซ้ำซ้อนเช่นนั้น ย่อมเป็นเหตุผลบ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายมิใช่เพียงเจตนาทำร้าย เมื่อจำเลยแทงผู้เสียหายไม่ถูกเพราะผู้เสียหายปิดป้องได้ผู้เสียหายจึงไม่ตาย จำเลยก็มีความผิดเพียงฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share