แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งห้าร่วมกันเป็นหุ้นส่วนมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใช้ชื่อทางการค้าว่าสหพรลิ้มการช่าง ได้ร่วมกันก่อสร้างตึกแถวให้เช่า และใช้ตึกแถวมีป้ายชื่อว่าสหพรลิ้มการช่าง เป็นสำนักงานติดต่อกับโจทก์และบุคคลทั่วไป ดังนี้ ตึกแถวชื่อสหพรลิ้มการช่างเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการก่อสร้างตึกให้เช่าของจำเลยทั้งห้า เมื่อ ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ได้เพราะจำเลยทั้งห้าไป ต่างจังหวัด การที่เจ้าพนักงานศาลปิดหมายไว้ตามคำสั่งศาล จึงเป็นการส่งโดยชอบ เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ที่จำเลยเป็นหุ้นส่วนอยู่เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2525 จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่วันที่8 ธันวาคม 2526 อันเป็นเวลาพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์แล้ว จำเลยจึงไม่อาจยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา208 ทั้งกรณีมิใช่เป็นการบังคับตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่น แต่ เป็นการบังคับตามคำพิพากษาโดยวิธียึดทรัพย์ และการขายทอดตลาด ก็เป็นวิธีการที่สืบเนื่องมาจากการยึดทรัพย์นั่นเอง ระยะเวลาหกเดือนต้องนับตั้งแต่วันที่ยึดทรัพย์ มิใช่นับจากวันขายทอดตลาดทรัพย์ ที่ ยึด
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 85,308บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งห้าไม่ชำระ โจทก์บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์คือตึกแถว 1 คูหาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2525และได้ขายทอดตลาดไปเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2526 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ โจทก์คัดค้าน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาว่า จำเลยที่ 3 ขอให้พิจารณาใหม่ได้หรือไม่ โดยจำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาแยกปัญหาออกเป็นสองประเด็นคือ ข้อแรก จำเลยที่ 3 ทราบฟ้องโดยชอบแล้วหรือไม่และข้อหลังจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ซึ่งตามประเด็นข้อแรกเจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยทั้งห้าที่ภูมิลำเนาในคำฟ้อง ไม่พบจำเลยทั้งห้าพบแต่นายสมชาย พูลทรัพย์ แจ้งว่าจำเลยทั้งห้าไปธุระต่างจังหวัดและไม่มีผู้ใดยินดีเซ็นรับหมายไว้แทน จึงได้ปิดหมายไว้ตามคำสั่งศาลปรากฎตามรายงานเจ้าหน้าที่ลงวันที่ 16 กันยายน 2524 ภูมิลำเนาตามฟ้องคือตึกแถวที่มีชื่อสหพรลิ้มการช่าง ตามภาพถ่ายหมาย จ.2ซึ่งปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ จำเลยทั้งห้าร่วมกันเป็นหุ้นส่วนโดยมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และใช้ชื่อทางการค้าว่าบริษัทมิตรรุ่งเรือง จำกัดบ้าง สหพรลิ้มการช่างบ้าง ตึกแถวที่จำเลยร่วมกันก่อสร้างเพื่อให้เช่าทุกห้องอยู่ที่ตลาดสดของสุขาภิบาลอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ และใช้ตึกแถวมีป้ายชื่อว่า สหพรลิ้มการช่างติดอยู่ด้านหน้า เป็นสำนักงานติดต่อกับโจทก์และบุคคลทั่วไป ดังนี้เห็นว่าตึกแถวชื่อสหพรลิ้มการช่างเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการก่อสร้างตึกแถวให้เช่าในตลาดสดสุขาภิบาลอำเภอลาดพร้าวทั้งนายสมชายก็รับว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยทั้งห้าจริงแต่ขณะส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องจำเลยทั้งห้าไปธุระต่างจังหวัด ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานศาลดำเนินการปิดหมายตามคำสั่งศาล จึงถือได้ว่าเป็นการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 3 โดยชอบ จำเลยที่ 3 ย่อมได้ทราบฟ้องของโจทก์แล้ว ส่วนประเด็นข้อหลังนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 บัญญัติไว้ว่า”คำขอให้พิจารณาใหม่นั้น ให้ยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย แต่ถ้าศาลได้กำหนดการอย่างใด ๆ เพื่อส่งคำบังคับเช่นว่านี้ โดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทน จะต้องได้มีการปฏิบัติตามคำกำหนดนั้นแล้ว อนึ่ง ถ้าคู่ความที่ขาดนัดไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่บัญญัติไว้ข้างบนนี้โดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ห้ามมิให้ยื่นคำขอเช่นว่านี้เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น…”ตามกฎหมายดังกล่าวได้กำหนดระยะเวลาไว้สองระยะด้วยกันคือระยะเวลาสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยหรือในกรณีมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ก็อาจยื่นคำขอเช่นว่านี้ได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลงแต่อย่างไรก็ตามอย่างช้าที่สุดต้องยื่นคำขอเช่นว่านี้ภายในกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น สำหรับคดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานว่าได้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2525 แต่ข้อเท็จจริงก็เป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วยตามที่โจทก์นำสืบ และจำเลยที่ 3 เองก็ยอมรับว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ให้ผู้อื่นเช่าประกอบการค้าตามวัตถุประสงค์ในการเป็นหุ้นส่วนของจำเลยทั้งห้า จำเลยที่ 3 ได้มายื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2526 อันเป็นเวลาพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์แล้ว จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้ ทั้งกรณีมิใช่เป็นการบังคับตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่น แต่เป็นการบังคับตามคำพิพากษาโดยวิธียึดทรัพย์นั่นเอง ระยะเวลาหกเดือนต้องนับแต่วันที่ยึดทรัพย์ดังกล่าวแล้ว มิใช่นับจากวันขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดดังจำเลยที่ 3 ฎีกาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องจำเลยที่ 3นั้น ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน