แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งหกเบิกความเท็จ และแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ในคดีที่จำเลยที่ 2 ร้องขอให้ศาลสั่งว่า อ. เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และขอให้ตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้พิทักษ์กับคดีที่จำเลยที่ 2 ร้องขอให้ศาลสั่งว่า อ. เป็นคนไร้ความสามารถ และตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้อนุบาล โดยโจทก์อ้างว่าจำเลยเบิกความและแสดงหลักฐานว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตร อ.ซึ่งเป็นความเท็จ ดังนี้ เมื่อโจทก์มิได้เป็นคู่ความในคดีทั้งสอง การเบิกความก็ดี การนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานก็ดีเป็นการกระทำต่อศาล เนื้อความก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ อ. มิได้เกี่ยวกับโจทก์ คดีเป็นเพียงเรื่องขอให้สั่งให้ อ. เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและไร้ความสามารถเท่านั้น แม้โจทก์จะเป็นทายาทอันดับ 3 ความเท็จที่จำเลยเบิกความหรือนำสืบยังไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือส่วนได้เสียของโจทก์โดยตรง โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายอันจะมีอำนาจฟ้องคดีในความผิดดังกล่าว
ส่วนความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมนั้น โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 ปลอมสูติบัตรของจำเลยที่ 2 และจำเลยทั้งหกร่วมกันปลอมสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยทั้งหก แล้วใช้อ้างเป็นพยานต่อศาลในคดีที่ร้องขอให้ อ. เป็นคนไร้ความสามารถ สูติบัตร และสำเนาทะเบียน ต่างเป็นเอกสารที่เจ้าหน้าที่ของรัฐทำขึ้น หากจะมีการปลอมแปลงก็มิใช่เป็นการกระทำตอ่โจทก์ ข้อความในสูติบัตรและสำเนาทะเบียนบ้านไม่เกี่ยวกับโจทก์ การอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยานก็กระทำต่อศาล มิได้กระทำต่อโจทก์โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในความผิดดังกล่าวเช่นเดียวกัน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นบุตรของนายเสริญนางจัด ลี้ศิริเสริญมีพี่น้องร่วมบิดามารดารวม 6 คนคือนางทุเรียน ประดิษฐ์พงษ์สุเมธนางกุ่ย โสภณ (ตาย) นายอ๊อด ลี้ศิริเสริญ (ตาย) โจทก์นางมุย พรหมณเรศและนางปราณี ฉายางกูรจำเลยที่ 1 เป็นภริยาของนายอ๊อดลี้ศิริเสริญอยู่กินฉันสามีภริยาแต่เพิ่งจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2521 ไม่มีบุตรด้วยกันจนกระทั่งนายอ๊อดตายเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2525 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 เป็นบุตรของนายใบนางมุย พรหมณเรศนำมาฝากให้นายอ๊อดเลี้ยงโดยนายอ๊อดให้ใช้นามสกุลด้วยจำเลยที่ 6 เป็นบุตรของนายกัง แซ่ตั้งและนางอารีย์ ตรีบูรภายหลังแอบอ้างใช้นามสกุล ลี้ศิริเสริญด้วยโจทก์เป็นทายาทโดยธรรมอันดับ 3 ของนายอ๊อดมีสิทธิรับมรดกของนายอ๊อดเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 เนื่องจากนายอ๊อดไม่มีผู้สืบสันดานและบิดามารดาถึงแก่กรรมไปก่อนแล้ว ก่อนตายนายอ๊อดได้ทำพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ ยกทรัพย์ให้แก่บุคคลหลายคนรวมทั้งโจทก์และจำเลยบางคน จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ (ก.) จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องข้อความเท็จต่อศาลแพ่งโดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนายอ๊อดและจำเลยที่1 และว่านายอ๊อดมีบุตรชอบด้วยกฎหมายรวม 5 คนคือจำเลยที่ 2ถึงที่ 6 ขอให้ศาลสั่งว่านายอ๊อดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความพิทักษ์ของจำเลยที่ 2 (ข.) จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6ได้ร่วมกันทำหนังสือยินยอมให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้พิทักษ์ของนายอ๊อดบิดาของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นความเท็จความจริงจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 รู้ดีอยู่แล้วว่าตนมิได้เป็นบุตรของนายอ๊อดทั้งนี้ โดยจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 มีเจตนาจะให้จำเลยที่1 และที่ 2 นำไปแสดงต่อศาลในการพิจารณาคดี (ค.) จำเลยที่ 1ได้เบิกความในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5942/2524 ของศาลแพ่งว่าจำเลยที่ 1 เป็นภริยาของนายอ๊อดจดทะเบียนสมรสกันมาประมาณ 40 ปีมีบุตรด้วยกัน 5 คนคือจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดีจนศาลแพ่งหลงเชื่อมีคำสั่งให้นายอ๊อดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความพิทักษ์ของจำเลยที่ 2 ความจริงจำเลยที่ 1 รู้ดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 2ถึงที่ 5 เป็นบุตรของนายใบนางมุย พรหมณเรศและจำเลยที่ 6 เป็นบุตรของนายกัง แซ่ตั้งกับนางอารีย์ ตรีบูร (ง.) จำเลยที่ 2 ได้เบิกความและนำสืบแสดงหลักฐานเท็จต่อศาลแพ่งในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และนายอ๊อดมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 5 คนคือจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6โดยแสดงสูติบัตรของจำเลยที่ 2 และหนังสือให้ความยินยอมอันเป็นเอกสารเท็จที่ทำขึ้นตามฟ้องข้อ ก. ความจริงจำเลยที่ 2 รู้ดีอยู่แล้วว่าตนเองและจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 มิได้เป็นบุตรของนายอ๊อดและจำเลยที่ 1 ข้อความที่จำเลยที่ 2 เบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีเป็นเหตุให้ศาลแพ่งหลงเชื่อว่าเป็นความจริงและมีคำสั่งให้นายอ๊อดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถให้อยู่ในความพิทักษ์ของจำเลยที่ 2 (จ.) จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ได้ร่วมกันทำหนังสือยินยอมให้จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้มีคำสั่งให้นายอ๊อดเป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ได้ลงนามแทนจำเลยที่ 6 ในหนังสือให้ความยินยอมดังกล่าวเพื่อให้ศาลเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6เป็นบุตรของนายอ๊อดและจำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 และที่2 นำไปแสดงต่อศาล (ฉ.) จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ได้ให้จำเลยที่ 2 ไปยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่11354/2524 ขอให้ศาลสั่งว่านายอ๊อดเป็นคนไร้ความสามารถและอยู่ในความอนุบาลของจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนายอ๊อดกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นความเท็จและต่อมาจำเลยที่ 1 ได้เบิกความต่อศาลแพ่งในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ 1 เป็นภริยาของนายอ๊อดมีบุตรด้วยกัน 5 คนคือจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 พร้อมกับแสดงหนังสือให้ความยินยอมตามฟ้องข้อ จ. ต่อศาลและในวันเดียวกันจำเลยที่ 2ได้เบิกความและนำสืบแสดงหลักฐานเท็จต่อศาลแพ่งในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนายอ๊อดแล้วแสดงสูติบัตรของจำเลยที่ 2ที่ทำปลอมขึ้นและเบิกความต่อไปว่ามีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 5 คนคือจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 โดยอ้างสำเนาทะเบียนบ้านซึ่งเป็นเอกสารที่จำเลยทั้งหกปลอมขึ้นแสดงต่อศาลและเบิกความส่งหนังสือให้ความยินยอมตามฟ้องข้อ จ. ต่อศาลซึ่งเป็นเอกสารเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นการทำหลักฐานเท็จ และนำสืบแสดงพยานหลักฐานเท็จซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีเป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อจึงมีคำสั่งให้นายอ๊อดเป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของจำเลยที่ 2 ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177, 180, 264, 265, 268, 83,91 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2514ข้อ 2
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล สั่งประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาคดีอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีปัญหาในชั้นนี้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายอันจะมีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ และจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่พิเคราะห์แล้วในปัญหาที่ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายอันจะมีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้น โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177, 180, 264, 265 และ 268 สำหรับในข้อหาฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 กับข้อหาฐานนำสืบแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 180นั้นเห็นว่าในคดีทั้งสองเรื่องดังกล่าวที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง โจทก์มิได้เป็นคู่ความในคดีการเบิกความก็ดีการนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานก็ดี เป็นการกระทำต่อศาลเนื้อความก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับนายอ๊อดมิได้เกี่ยวกับโจทก์คดีก็เป็นเพียงเรื่องการขอให้สั่งให้นายอ๊อดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและไร้ความสามารถเท่านั้นแม้โจทก์จะเป็นทายาทอันดับ 3 ความเท็จที่จำเลยเบิกความหรือนำสืบก็ยังไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือส่วนได้เสียของโจทก์โดยตรง โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายอันจะมีอำนาจฟ้องคดีในความผิดสองข้อหานี้
ส่วนในความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 265 และ 268 นั้นโจทก์อ้างว่าจำเลยที่2 ปลอมสูติบัตรของจำเลยที่ 2 และจำเลยทั้งหกร่วมกันปลอมสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยทั้งหกขึ้นแล้วใช้อ้างเป็นพยานต่อศาลในคดีที่จำเลยที่ 2 ร้องขอให้ศาลสั่งให้นายอ๊อดเป็นคนไร้ความสามารถดังกล่าวมาแล้วข้างต้น เห็นว่าสูติบัตรก็ดีสำเนาทะเบียนบ้านก็ดีเป็นเอกสารที่เจ้าหน้าที่ของรัฐทำขึ้น หากจะมีการปลอมแปลงอย่างไรก็มิใช่กระทำตอ่โจทก์และใจความตามเอกสารสูติบัตรก็เป็นการระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนายอ๊อดส่วนสำเนาทะเบียนบ้านก็ระบุว่าจำเลยทั้งหกอยู่บ้านเดียวกับนายอ๊อดไม่เกี่ยวกับโจทก์แต่อย่างใดส่วนการใช้อ้างเป็นพยานต่อศาลก็เป็นการกระทำต่อศาลมิได้กระทำต่อโจทก์โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมในคดีนี้เช่นกันศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลไม่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่
พิพากษายืน.