คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 905/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์โดยเป็นนักแสดงอาชีพมิได้รับจ้างแสดงเป็นครั้งคราว เงินได้ที่ได้รับเนื่องจากการแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์จึงเป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระตาม มาตรา 40(6) แห่งประมวลรัษฎากร หากเงินได้ของโจทก์ ไม่ใช่เงินได้จากวิชาชีพอิสระตามมาตรา 40(6) เงินได้จากการประกอบอาชีพนักแสดงก็เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวไม่ขัดกัน ไม่เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม การแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร จะใช้วิธีนำไปส่งหรือส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ก็ได้ จำเลยใช้วิธีการส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ดังนั้นความใน ประมวลรัษฎากร มาตรา 8 วรรคสอง ที่ว่าถ้าให้นำส่งเมื่อผู้ส่งไม่พบผู้รับ จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่ในบ้านหรือสำนักงานของผู้รับก็ได้ จึงไม่ใช้กับกรณีนี้ แต่การส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับต้องบังคับตามไปรษณียนิเทศ พ.ศ. 2529ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พุทธศักราช 2477 และ มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519 ซึ่งใช้บังคับขณะพิพาทกันในคดีนี้ ไปรษณียนิเทศ ข้อ 333 กำหนดว่าไปรษณียภัณฑ์ และพัสดุไปรษณีย์อาจนำจ่ายให้แก่ผู้รับหรือผู้แทนของผู้รับก็ได้ข้อ 334 กำหนดว่า ในกรณีนำจ่าย ณ ที่อยู่ของผู้รับการสื่อสารแห่งประเทศไทยถือว่าบุคคลต่อไปนี้เป็นผู้แทนของผู้รับคือบุคคลซึ่งอยู่หรือทำงานในบ้านเรือนหรือที่สำนักทำการงานของผู้รับและข้อ 336 กำหนดว่าไปรษณียภัณฑ์ และพัสดุไปรษณีย์ที่นำจ่ายให้แก่ผู้แทนของผู้รับให้ถือว่าได้นำจ่ายให้แก่ผู้รับแล้วนับแต่วันเวลาที่นำจ่าย ดังนั้น การที่โจทก์แถลงยอมรับว่า นางสาวส.อายุ 18 ปีคนรับใช้และอยู่ในบ้านโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2529 จึงถือได้ว่าโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2529ตามมาตรา 8 แห่งประมวลรัษฎากรการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่8 พฤษภาคม 2529 จึงเป็นการนำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ขัดต่อมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบอาชีพเป็นนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์มีเงินได้เนื่องจากการประกอบอาชีพดังกล่าว และโจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยถูกต้องครบถ้วน ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากโจทก์เพิ่มเติมสำหรับปี พ.ศ. 2519 ถึงปี พ.ศ. 2524 โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งได้มีคำวินิจฉัยให้ลดเงินเพิ่มลงเหลือเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเงินเพิ่มตามกฎหมาย แต่ยังวินิจฉัยว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินเป็นการถูกต้องแล้ว ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยให้การว่า การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวไปยังโจทก์ณ ภูมิลำเนาโจทก์ โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ เจ้าหน้าที่ของจำเลยได้รับใบตอบรับคืนซึ่งแสดงว่ามีผู้รับเอกสารไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2529 จึงต้องถือว่าโจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้วในวันดังกล่าวตามมาตรา 8 แห่งประมวลรัษฎากรการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องต่อศาลในวันที่ 8 พฤษภาคม 2529 จึงเป็นการฟ้องเมื่อล่วงเลยกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงเป็นฟ้องที่ต้องห้ามตามมาตรา 30 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าเงินได้ของโจทก์ต้องตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8) จึงหักค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและสมควรตามพระราชกฤษฎีกาฯ(ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 มาตรา ทวิ ที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ส่วนโจทก์จะหักค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนเท่าใด เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาในชั้นการประเมินที่จำเลยจักต้องประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้ในปีพ.ศ. 2519 ถึงปี พ.ศ. 2524 ใหม่ต่อไป พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์เป็นประการแรกว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าเงินได้ของโจทก์หากไม่ใช่เงินได้ตามมาตรา 40(6) ก็เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร จำเลยจึงไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าโจทก์ประสงค์จะฟ้องโดยอ้างว่าเงินได้ของโจทก์เป็นเงินได้พึงประเมินตามกฎหมายใดแน่ ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์หาได้มีแต่เพียงเท่าที่จำเลยหยิบยกขึ้นอุทธรณ์ดังกล่าวแล้วเท่านั้นไม่ แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ด้วยว่า โจทก์เป็นนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ โดยโจทก์เป็นนักแสดงอาชีพมิได้รับจ้างแสดงเป็นครั้งคราว เงินได้ที่ได้รับเนื่องจากการแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์จึงเป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระตามมาตรา 40(6) แห่งประมวลรัษฎากรและบรรยายฟ้องต่อไปว่า หากเงินได้ของโจทก์ไม่ใช่เงินได้จากวิชาชีพอิสระ ตามมาตรา 40(6) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากการประกอบอาชีพนักแสดงก็เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่โจทก์เห็นว่าเงินได้ของโจทก์ควรจะเป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระตามมาตรา 40(6)แห่งประมวลรัษฎากรและถ้าเงินได้ของโจทก์ไม่ใช่เงินได้จากวิชาชีพอิสระ ก็เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งระบุตัวเงินได้รวมทั้งเงินได้จากการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 40(1)ถึง (7) แห่งประมวลรัษฎากรด้วยหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากเงินได้ของโจทก์ไม่ใช่เงินได้ตามมาตรา 40(6) แห่งประมวลรัษฎากรก็ไม่ใช่เป็นเงินได้ที่เข้าอนุมาตราหนึ่งมาตราใดซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรนั่นเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าฟ้องของโจทก์ไม่ขัดกันหรือเมื่อไม่เข้าอยู่มาตราใดก็ไม่อาจเข้าอยู่มาตราอื่นอีกได้ดังจำเลยอุทธรณ์ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าไม่สามารถต่อสู้คดีได้แน่ชัดว่า ฟ้องของโจทก์ไม่ถูกต้องเพราะเหตุใดก็ปรากฏว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้ชัดแจ้งแล้วว่า เงินได้ของโจทก์เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(2) ไม่ใช่มาตรา 40(6) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา172 แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยอุทธรณ์ประการต่อมาว่า โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์การประเมินเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2529 แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2529 จึงเป็นฟ้องที่เกินกำหนดตามมาตรา 30แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลรัษฎากร มาตรา 34 บัญญัติไว้ว่า “คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้มีหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์ ตามมาตรา 29 หรือมาตรา 30 ให้ทำเป็นหนังสือและให้ส่งไปยังผู้อุทธรณ์” โดยมีมาตรา 8 แห่งประมวลรัษฎากรบัญญัติว่า “หมายเรียกหรือหนังสืออื่น ซึ่งมีถึงบุคคลใดตามลักษณะนี้จะให้นำไปส่งในเวลากลางวันระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก หรือจะส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็ได้ ถ้าให้นำไปส่ง เมื่อผู้ส่งไม่พบผู้รับ จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่ในบ้านหรือสำนักงานของผู้รับก็ได้”
“วิธีการแจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรเป็นดังนี้ จึงเห็นได้ชัดว่าหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวจะใช้วิธีนำไปส่งหรือส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็ได้ และข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์แถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลภาษีอากรกลางเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2529ว่า จำเลยได้แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ และนางสาวสุพัตรา หุ่นบัวทอง คนรับใช้ซึ่งมีอายุ 18 ปีเศษและอยู่ในบ้านโจทก์ได้รับไว้ตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2529 จึงรับฟังได้ว่าจำเลยใช้วิธีการแจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนหาได้ใช้วิธีนำไปส่งดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 8 แห่งประมวลรัษฎากรไม่ดังนั้นความในมาตรา 8 วรรคสองแห่งกฎหมายดังกล่าวที่ว่า”ถ้าให้นำไปส่ง เมื่อผู้ส่งไม่พบผู้รับ จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่ในบ้านหรือสำนักงานของผู้รับก็ได้” จึงไม่ใช้กับกรณีนี้ แต่การส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับที่โจทก์ใช้ในกรณีนี้ ต้องบังคับตามไปรษณียนิเทศ พ.ศ. 2529 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติไปรษณีย์พุทธศักราช2477 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2519 ซึ่งใช้บังคับขณะพิพาทกันในคดีนี้ ไปรษณียนิเทศฉบับดังกล่าว ข้อ 333 ได้กำหนดไว้ว่า “ไปรษณียภัณฑ์ และพัสดุไปรษณีย์อาจนำจ่ายให้แก่ผู้รับหรือผู้แทนของผู้รับก็ได้”ข้อต่อมากำหนดว่า “ในกรณีนำจ่าย ณ ที่อยู่ของผู้รับการสื่อสารแห่งประเทศไทยถือว่า บุคคลต่อไปนี้เป็นผู้แทนของผู้รับคือ บุคคลซึ่งอยู่หรือทำงานในบ้านเรือน หรือที่สำนักทำการงานของผู้รับ ฯลฯ” และข้อ 336 กำหนดว่า “ไปรษณียภัณฑ์ และพัสดุไปรษณีย์ที่นำจ่ายให้แก่ผู้แทนของผู้รับให้ถือว่าได้นำจ่ายให้แก่ผู้รับแล้วนับแต่วันเวลาที่นำจ่าย” ดังนั้น การที่โจทก์แถลงยอมรับว่า นางสาวสุพัตรา หุ่นบัวทองคนรับใช้และอยู่ในบ้านโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2529 ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่มีมติว่าโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2529(ตามมาตรา 8 แห่งประมวลรัษฎากร) และดังนั้นการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2529 จึงเป็นการนำคดีมาฟ้อง เมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ขัดต่อมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากรโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องดังจำเลยอุทธรณ์
ที่โจทก์แก้อุทธรณ์ว่า นางสาวสุพัตรา หุ่นบัวทอง มาอยู่บ้านของโจทก์เป็นการชั่วคราวเพียงเดือนเศษ ก็ขัดกับคำแถลงรับของโจทก์เองที่ว่านางสาวสุพัตรา เป็นคนรับใช้ของโจทก์ และอยู่ในบ้านโจทก์ ส่วนที่นางสาวสุพัตรามีอายุเพียง 18 ปีเศษ ไม่มีความรู้สึกผิดชอบเท่ากับผู้บรรลุนิติภาวะแต่ก็ได้ความว่านางสาวสุพัตราอยู่หรือทำงานในบ้านเรือนของโจทก์ในฐานะคนรับใช้จึงหาเป็นการขัดกับไปรษณียนิเทศ ฉบับ พ.ศ. 2529 ข้อ 334 ซึ่งไม่ได้กำหนดอายุของผู้แทนของผู้รับไว้ดังโจทก์แก้อุทธรณ์แต่อย่างใดไม่และที่โจทก์แก้อุทธรณ์ว่า โจทก์เพิ่งทราบโดยได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2529 นั้น ก็เป็นเรื่องที่โจทก์เข้าใจกฎหมายคลาดเคลื่อนเพราะบทกฎหมายดังกล่าวบัญญัติแต่เพียงว่าคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้มีหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือและส่งไปยังผู้อุทธรณ์เท่านั้น ส่วนการที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์จะทราบหรือไม่ และทราบเมื่อใด เป็นอีกเรื่องหนึ่งจะนำมาเป็นข้อแก้ตัวไม่ได้”
พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์

Share