แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะได้แจ้งย้ายจากที่อยู่ตามที่โจทก์ระบุในฟ้องก่อนฟ้อง 2 เดือนก็ตาม แต่ครอบครัวของจำเลยไม่ได้แจ้งย้ายตามไปด้วย คงอาศัยอยู่บ้านตามฟ้องเมื่อพนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้จำเลยตามที่อยู่ดังกล่าวสองครั้ง ทุกครั้งคนในบ้านก็แจ้งว่าจำเลยออกไปทำธุระพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยยังอยู่ที่บ้านหลังนั้นตลอดมาถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งสับเปลี่ยนกันไปบ้านที่ระบุในฟ้องจึงเป็นภูมิลำเนาแห่งหนึ่งของจำเลย
พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปปิดที่บ้านซึ่งถือว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลย จึงเป็นการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยชอบ เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผล จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้จากจำเลย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์และออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์ขอให้ออกหมายบังคับคดี แต่ยังไม่ทันได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์จำเลย จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ อ้างว่าไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา โจทก์คัดค้าน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่ ให้จำเลยยื่นคำให้การภายใน8 วันนับแต่วันฟังคำสั่ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ปัญหาที่จะวินิจฉัยในเบื้องแรกมีว่าจำเลยมีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่หรือไม่ เห็นว่า การยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่นั้นจะต้องกระทำภายในระยะเวลาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก คือต้องยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย แต่ถ้าศาลได้กำหนดการอย่างใด ๆ เพื่อส่งคำบังคับเช่นว่านี้โดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทน จะต้องได้มีการปฏิบัติตามกำหนดนั้นแล้ว อนึ่ง ถ้าคู่ความที่ขาดนัดไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่บัญญัติไว้ดังกล่าวโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตามห้ามไม่ให้ยื่นคำขอเช่นว่านี้เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น คดีนี้แม้จำเลยจะมีสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ร.3 มาแสดงว่า ก่อนฟ้อง 2 เดือน คือเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2527 จำเลยได้แจ้งย้ายทะเบียนบ้านจากกรุงเทพมหานครเข้าไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 119 หมู่ที่ 3ตำบลหัวดง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร ก็ตาม แต่ได้ความว่าครอบครัวของจำเลยไม่ได้แจ้งย้ายตามไปด้วย คงอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 165 ถนนประดิพัทธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร อันเป็นภูมิลำเนาตามฟ้องของจำเลยปรากฏว่าเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี โจทก์แถลงขอให้ออกคำบังคับส่งให้แก่จำเลย วันที่ 15 พฤศจิกายน 2527พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยที่บ้านเลขที่165 ถนนประดิพัทธ์ คนในบ้านก็แจ้งว่าจำเลยอยู่ที่บ้านหลังนี้แต่ออกไปทำกิจธุระนอกบ้าน หลังจากนั้นอีก 1เดือนเศษ คือเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2527 พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยที่บ้านเลขที่ 165 ถนนประดิพัทธ์อีก คนในบ้านก็แจ้งว่าจำเลยออกไปทำกิจธุระเช่นเคยพนักงานเดินหมายจึงปิดคำบังคับไว้ที่หน้าประตูบ้านหลังนั้นพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยยังอยู่ที่บ้านหลังนั้นตลอดมา และถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งสับเปลี่ยนกันไป ที่จำเลยนำสืบว่าบ้านเลขที่ 165 ถนนประดิพัทธ์ เป็นบ้านของนางนงค์นุช อำพุช ภรรยาเก่าของจำเลยที่เลิกร้างกันมาประมาณ 20 ปีแล้ว จำเลยไม่เคยอยู่ที่บ้านหลังนี้ ขัดต่อเหตุผลข้างต้นฟังเป็นจริงไม่ได้ บ้านเลขที่165 ถนนประดิพัทธ์ ที่ระบุในคำฟ้องจึงเป็นภูมิลำเนาแห่งหนึ่งของจำเลย พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปปิดที่บ้านหลังนี้ตามคำสั่งศาล จึงถือว่าได้ส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยชอบกรณีนี้พนักงานเดินหมายส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2527 การส่งคำบังคับดังกล่าวมีผลใช้ได้เมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสอง จึงมีผลในวันที่ 4 มกราคม 2528 จำเลยอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผลซึ่งครบกำหนดในวันที่ 19 มกราคม 2528 จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 8 ตุลาคม 2528 ล่วงเลยระยะเวลาที่บัญญัติบังคับไว้แล้ว จึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้ ปัญหาอื่นไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น’
พิพากษากลับ ให้ยกคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลย.