แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177 ข้อความเท็จที่ได้เบิกความต่อศาลจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดี ซึ่งหมายถึงต้องเป็นข้อสำคัญฝนคดีอย่างแท้จริงถึงขนาดมีผลทำให้แพ้ชนะคดีกันได้โดยเบอกคำเบิกความอันเป็นเท็จนั้น
คดีแพ่งซึ่งโจทก์ถูก ท. ฟ้องเรียกเงินคืน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ ท. ชนะคดีโดยอาศัยพยานเอกสารในคดีเป็นสำคัญ ส่วนคำเบิกความของพยานบุคคลเพียงแต่นำมารับฟังประกอบพยานเอกสารเท่านั้น และวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าโดยมิได้นำคำเบิกความของจำเลยมาเป็นข้อวินิจฉัยให้มีผลเป็นการแพ้ชนะกัน ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานเบิกความเท็จได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2543 เวลากลางวันจำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2008/2541 หมายเลขแดงที่ 1189/2544 ของศาลชั้นต้น ระหว่างนางทุเรียน ทองกำพร้า โจทก์ นางวิไล ทองกำพร้า จำเลย ว่าจำเลยได้เปิดบัญชีที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสมุทรสาคร ใช้ชื่อบัญชีเป็นชื่อจำเลย มีเงื่อนไขในการเปิดบัญชีคือจำเลยหรือโจทก์เป็นผู้เบิกเงินจากบัญชีได้ เงินในบัญชีดังกล่าวเป็นของนางทุเรียนโจทก์ในคดีแพ่งที่กล่าวข้างต้น ถ้าจะเบิกเงินออกมาใช้จะต้องได้รับความยินยอมจากนางทุเรียนก่อนซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกต่อศาลว่า “ถ้าจะเบิกเงินออกมาใช้จะต้องได้รับคงามยินยอมจากนางทุเรียนก่อน” เป็นข้อความเท็จจริงความจริงโจทก์จำเลยได้แต่งงานจดทะเบียนสมรสอยู่กินฉันสามีภริยากันมาเป็นเวลากล่า 33 ปี มีบุตรด้วยกัน 3 คน มีทรัพย์สินเงินทองที่โจทก์จำเลยร่วมกันทำมาหากินและจากการขายที่ดินของโจทก์จำนวนมาก แต่เนื่องจากโจทก์มีการศึกษาน้อยได้ยกย่องให้จำเลยซึ่งเป็นสามีเป็นผู้นำครอบครัว โจทก์จึงมอบหมายให้จำเลยเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด ในการเปิดบัญชีตามที่จำเลยเบิกความนั้น ไม่มีเงื่อนไขในการสั่งจ่ายว่าจะต้องได้รับความยินยอมจากนางทุเรียนก่อน คำเบิกความเท็จดังกล่าวของจำเลยถือเป็นข้อสำคัญในคดีและทำให้ศาลเชื่อว่ามีเงื่อนไขในการเบิกถอนเงินดังกล่าว จึงพิพากษาให้โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวแพ้คดีต้องรับผิดชดใช้เงินคืนแก่นางทุเรียน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตใหฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันและได้ร่วมกันเปิดบัญชีเงินฝากประเภทฝากประจำที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสมุทรสาคร โดยเปิดบัญชีเป็นเงิน 500 บาท มีเงื่อนไขว่าคนใดคนหนึ่งสามารถถอนเงินจากบัญชีได้ ตามคำขอเปิดบัญชีเอกสารหมาย จ.3 ต่อมาโจทก์ถูกนางทุเรียน ทองกำพร้า ผู้เป็นมารดาของจำเลยฟ้องเรียกเงินคืนโดยอ้างว่าโจทก์ได้ถอนเงินในบัญชีดังกล่าวซึ่งเป็นเงินของนางทุเรียนไป และจำเลยเบิกความเป็นพยานฝ่ายนางทุเรียนว่าเงินในบัญชีดังกล่าวเป็นของนางทุเรียนถ้าจะเบิกเงินออกมาใช้จะต้องได้รับความยินยอมจากนางทุเรียนก่อนต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่นางทุเรียนตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1189/2544 ของศาลชั้นต้นคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีโจทก์มีมูลหรือไม่เก็นว่า ในความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 นั้น ข้อความเท็จที่ได้เบิกความต่อศาลในการพิจารณาคดีจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดีจึงจะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จซึ่งหมายถึงต้องเป้นข้อสำคัญในคดีอย่างแท้จริงถึงขนาดมีผลทำให้แพ้ชนะคดีกันได้โดยอาศัยคำเบิกความอันเป็นเท็จเท่านั้น แต่ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2008/2541 หมายเลขแดงที่ 1189/2544 ของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์ถูกนางทุเรียนฟ้องเรียกเก็บเงินคืนนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางทุเรียนผู้เป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวชนะคดีโดยอาศัยพยานเอกสารในคดีเป็นสำคัญ ส่วนคำเบิกความของพยานบุคคลนั้นเพียงแต่นำมารับฟังประกอบพยานเอกสารเท่านั้น และวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าโดยมิได้นำคำเบิกความของจำเลยนี้ที่ว่า ถ้าจะเบิกเงินออกมาใช้จะต้องได้รับความยินยอมจากนางทุเรียนก่อน มาเป็นข้อวินิจฉัยให้มีผลเป็นการแพ้ชนะกันข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวจึงไม่ใช้ข้อความสำคัญในคดีไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานเบิกความเท็จได้ ซึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดีที่โจทก์อ้างมาในฎีกาก็สนับสนุนข้อวินิจฉัยดังกล่าวหาใช่สนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ตามที่อ้างมาในฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน