คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สถานที่เกิดเหตุอยู่ในตลาด มีแสงไฟฟ้ามองเห็นได้ชัดในระยะ20 เมตร ขณะจำเลยยิงผู้ตายผู้ตายและ ส. อยู่ห่างจำเลยราว2 เมตร ส. ย่อมเห็นจำเลยได้ชัดเจน ทั้งขณะเกิดเหตุก็ไม่มีเหตุการณ์สับสนวุ่นวายอันจะเป็นเหตุให้จดจำคนร้ายผิดพลาดไปได้ดังนั้น ที่ ส. เบิกความว่าจำเลยเป็นคนร้ายยิงผู้ตายจึงน่าเชื่อถือ ชั้นสอบสวน บ. ยืนยันว่าเห็นจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มผู้ตายซึ่งให้การไว้อย่างมีเหตุผล รายละเอียดต่าง ๆ ก็ให้การสอดคล้องกันกับคำเบิกความของ ส. พยานโจทก์ คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวแม้จะเป็นเพียงพยานบอกเล่าก็สามารถรับฟังประกอบคำเบิกความของส.พยานโจทก์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นได้ ชั้นศาล บ.ไม่ยอมมาเป็นพยานโจทก์โดยไม่ปรากฏเหตุผลแต่กลับมาเป็นพยานจำเลยโดยเบิกความกลับคำให้การชั้นสอบสวนที่อ้างว่าคำให้การชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนเขียนขึ้นเองแล้วพยานลงชื่อโดยไม่ได้อ่านก่อนนั้น ปรากฏว่านอกจาก บ.จะลงชื่อไว้ในคำให้การชั้นสอบสวนแล้วยังได้ลงชื่อไว้ในบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหายืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตาย กรณีจึงน่าเชื่อว่า บ.ได้เห็นจำเลยยิงผู้ตายดังที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2526 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยได้บังอาจมีอาวุธปืนพกสั้นรีวอลเวอร์ จำนวน 1 กระบอกไม่ปรากฏหมายเลขทะเบียนแน่ชัด และกระสุนปืนรีวอลเวอร์ ขนาด.38 (พิเศษ) 2 นัด ซึ่งเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่ใช้ยิงในความครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย ทั้งจำเลยได้บังอาจพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมืองโดยไม่มีเหตุ อันสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวทั้งไม่เป็นกรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และจำเลยได้บังอาจใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายสุเมธา ชมชื่น และนายสุธาสินทุ์ ชมชื่น กับพวกผู้เสียหาย จำนวน 2 นัด โดยมีเจตนาฆ่านายสุเมธา และนายสุธาสินทุ์ กับพวกให้ถึงแก่ความตาย จนเป็นเหตุให้นายสุเมธาถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิง 1 นัด บริเวณหน้าอกถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ส่วนที่จำเลยมีเจตนาฆ่านายสุธาสินท์กับพวก จำเลยลงมือกระทำผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำของจำเลยไม่บรรลุผลเนื่องจากนายสุธาสินทุ์กับพวกหลบหลีกวิถีกระสุนเสียทัน กระสุนปืนที่จำเลยยิงจึงไม่ถูกนายสุธาสินทุ์กับพวก นายสุธาสินทุ์กับพวกจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย เหตุเกิดที่แขวงบางจากเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร เจ้าพนักงานยึดได้หัวกระสุนปืนรีวอลเวอร์ขนาด .38 (พิเศษ) ที่จำเลยใช้ยิงนายสุเมธาได้จากศพของนายสุเมธา 1 หัวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 80, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน (ฉบับที่ 44) ลงวันที่ 21ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และขอให้ศาลสั่งริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน (ฉบับที่ 44) ลงวันที่ 21ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักปรับ 1,000 บาท เรียงกระทงลงโทษรวมจำคุก 15 ปี ปรับ 1,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาที่อื่นให้ยกของกลางริบ
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 21 นาฬิกา นายสุธาสินทุ์ ชมชื่นนายสุเมธา ชมชื่น และนายบุญธรรม ทองคำ ได้ออกจากบ้านเพื่อไปดูหนังกลางแปลงที่ตลาดบางจาก ถนนสุขุมวิท 95 พอไปถึงหน้าตลาดก็พบนายสมบัติ วงศ์มะโรง นายสราวุธ (ไม่ปรากฏนามสกุล) กับเพื่อนอีก 1 คนนั่งดื่มสุรากันอยู่นายสมบัติได้ชวนนายสุเมธาดื่มสุรานายสุธาสินทุ์ นายสุเมธา และนายบุญธรรม จึงนั่งดื่มสุรากับนายสมบัติและพวกของนายสมบัติ ดื่มกันจนประมาณ 23.30 นาฬิกานายสมบัติซึ่งเมาสุราขอให้นายสุเมธาไปส่งที่บ้านและได้ออกเดินไปด้วยกัน ไปได้ประมาณ 10 นาที นายสุเมธาได้กลับมาบอกนายสุธาสินทุ์กับพวกที่นั่งอยู่ที่เดิมว่ามีคนพูดหาเรื่องว่าจะยิงให้หมด นายสุธาสินทุ์จึงชวนทุกคนกลับบ้านและออกเดินไปพร้อมกันพอเดินไปถึงกลางตลาดก็พบกับชายกลุ่มหนึ่งประมาณ 4-5 คน คนหนึ่งทราบชื่อภายหลังว่าชื่อนายถนอม เกิดแสง จำเลยนี้ นายสุเมธาเดินไปจนห่างจำเลยประมาณ 2 เมตรก็หยุด แล้วนายสมบัติได้เดินเข้ามาหานายสุเมธา พอนายสมบัติเข้ามาเกือบจะถึงตัวนายสุเมธา นายสุเมธาได้ร้องบอกว่าให้หลบไปพร้อมทั้งผลักนายสมบัติล้มลง จากนั้นนายสุธาสินทุ์ ก็เห็นจำเลยชักปืนพกสั้นออกมายิงใส่กลุ่มพวกนายสุธาสินทุ์ 2 นัด กระสุนนัดหนึ่งถูกนายสุเมธาที่หน้าอกล้มลง ยิงแล้วจำเลยได้วิ่งหนีไปทางหลังตลาด นายสุธาสินทุ์วิ่งตามไปแต่ไม่ทันจึงกลับมานำนายสุเมธาไปส่งโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ไปถึงแพทย์ได้บอกว่านายสุเมธาถึงแก่ความตายแล้วราว 1 นาฬิกาเมื่อร้อยตำรวจโทฤชากร จรเจวุฒิพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระโขนงได้รับแจ้งเหตุจากศูนย์วิทยุนารายณ์ก็ได้ออกไปดูผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท เมื่อทราบว่าผู้บาดเจ็บได้ถึงแก่ความตายแล้วก็ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิร่วมกตัญญูรับศพไปที่สถานีตำรวจนครบาลพระโขนงแล้วนำศพไปชันสูตรพลิกศพที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจคืนนั้นร้อยตำรวจโทฤชากรได้ร่วมกับพันตำรวจโทณรงค์ เริงฤทธิกรออกไปตรวจสถานที่ที่เกิดเหตุและทำแผนที่เกิดเหตุไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 ทั้งได้สอบปากคำประจักษ์พยานคือนายสมบัตินายสุธาสินทุ์ รวมทั้งมารดาของผู้ตาย เมื่อทราบว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตายก็ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามไปที่บ้านจำเลยแต่ไม่พบตัวพันตำรวจโทณรงค์จึงได้ออกหมายจับจำเลยไว้ ต่อมาวันที่ 12สิงหาคม 2526 จำเลยได้เข้ามอบตัวและให้การปฏิเสธ ปรากฏว่าพันตำรวจโทณรงค์ได้ค้นพบใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนของจำเลยจึงสอบถามจำเลยเรื่องอาวุธปืนจำเลยแจ้งว่าอาวุธปืนของจำเลยได้หายไป พันตำรวจโทณรงค์ได้จัดให้นายสมบัติมาชี้ตัวคนร้ายนายสมบัติได้ชี้ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้าย ต่อมาวันที่ 31 ธันวาคม2526 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามนายบุญธรรม ทองคำผู้เห็นเหตุการณ์มาสอบปากคำเป็นพยานได้อีก 1 ปาก และร้อยตำรวจโทชาญวิทย์ พุ่มโพธิ์ ซึ่งมารับหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนต่อจากพนักงานสอบสวนคนก่อนได้จัดให้นายสุธาสินทุ์กับนายบุญธรรมชี้ตัวคนร้าย พยานทั้งสองคนก็ชี้ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้ายเช่นกัน
จำเลยนำสืบต่อสู้อ้างฐานที่อยู่และอ้างด้วยว่านายสมบัติไม่เห็นว่าใครเป็นคนร้ายในคดีนี้ ที่นายสมบัติมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าจำเลยเป็นคนร้าย จำเลยได้ยื่นฟ้องนายสมบัติฐานเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญา นายสมบัติ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำคุกนายสมบัติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ไว้มีกำหนด 3 ปี ปรากฏตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9143/2528 ของศาลชั้นต้น
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและฐานพาอาวุธปืนหรือไม่ เห็นว่า แม้เหตุคดีนี้จะเกิดขึ้นในเวลากลางคืน แต่สถานที่เกิดเหตุอยู่ในตลาด ปรากฏตามคำเบิกความของพันตำรวจโทณรงค์ พนักงานสอบสวนผู้หนึ่งซึ่งออกไปตรวจที่เกิดเหตุหลังเกิดเหตุไม่นานว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าจากตลาดสามารถมองเห็นได้ชัดในระยะ 20 เมตร เช่นนี้ ผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุย่อมจะมองเห็นคนร้ายได้ชัดเจน ได้ความจากคำนายสุธาสินทุ์ว่าตอนที่เกิดเหตุยิงกันขึ้นนั้น นายสุธาสินทุ์นายสุเมธา ผู้ตาย นายบุญธรรม กำลังเดินไปตามทางกลางตลาดเพื่อจะกลับบ้านโดยผู้ตายเดินนำหน้าพอมาถึงที่เกิดเหตุก็พบกับกลุ่มของจำเลยซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมดประมาณ 4-5 คน ขณะที่ผู้ตายอยู่ห่างจำเลยราว 2 เมตร นายสมบัติพวกของผู้ตายซึ่งมารออยู่ก่อนได้เดินเข้ามาหาผู้ตาย พอจวนจะถึงตัวผู้ตาย ผู้ตายก็ร้องบอกให้นายสมบัติหลบไปทั้งผลักนายสมบัติให้ล้มลง ตอนนี้เองนายสุธาสินทุ์ได้เห็นจำเลยยิงปืนใส่กลุ่มผู้ตาย 2 นัด แล้วจำเลยหนีไป เห็นว่า ขณะจำเลยยิงปืนใส่กลุ่มผู้ตายนั้น นายสุธาสินทุ์อยู่ห่างจำเลยไม่มากเพราะเดินมาติด ๆ กับผู้ตายนั่นเองนายสุธาสินทุ์ย่อมเห็นจำเลยได้ชัดเจน ทั้งขณะเกิดเหตุก็ไม่ได้มีเหตุการณ์สับสนวุ่นวายอันจะเป็นเหตุให้จดจำคนร้ายผิดพลาดไปได้ตามคำพันตำรวจโทณรงค์ซึ่งสอบปากคำนายสมบัติและนายสุธาสินทุ์ไว้ในคืนเกิดเหตุก็ได้ความว่าพยานทั้งสองให้การว่า จำคนร้ายได้คือจำเลยนี้ ในรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องก็ระบุชื่อผู้ทำให้ตายว่า “นายถนอม เกิดแสง” หลังเกิดเหตุพันตำรวจโทณรงค์ได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปติดตามจำเลยที่บ้าน แต่ไม่พบตัว แสดงว่าในคืนเกิดเหตุได้ทราบตัวคนร้ายว่าคือจำเลยนี้แล้วจริง พยานหลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เห็นว่าที่นายสุธาสินทุ์พยานโจทก์ยืนยันว่าจำเลยคือคนร้ายที่ยิงผู้ตายตายเชื่อถือรับฟังได้ นอกจากคำนายสุธาสินทุ์ดังกล่าวมาแล้วยังปรากฏจากคำร้อยตำรวจโทชาญวิทย์ซึ่งสอบปากคำนายบุญธรรมผู้รู้เห็นเหตุการณ์อีกคนหนึ่งไว้ว่าชั้นสอบสวนนายบุญธรรมยืนยันว่าได้เห็นจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มผู้ตายดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.7 ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำให้การชั้นสอบสวนของนายบุญธรรมโดยละเอียดแล้วเห็นว่าได้ให้การไว้อย่างมีเหตุมีผล รายละเอียดต่าง ๆ ก็ให้การสอดคล้องกันกับคำนายสุธาสินทุ์น่าเชื่อว่านายบุญธรรมได้ให้การไว้ตามที่ได้รู้เห็นมาจริง คำให้การชั้นสอบสวนของนายบุญธรรมแม้จะเป็นเพียงพยานบอกเล่าก็สามารถรับฟังประกอบคำนายสุธาสินทุ์ประจักษ์พยานโจทก์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นอกจากพยานหลักฐานดังกล่าวมาแล้วปรากฏว่าจำเลยมีใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนพกสั้นชนิดรีวอลเว่อร์ขนาด .38 ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับที่ใช้ยิงผู้ตายดังปรากฏตามคำให้การเพิ่มเติมในชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.9 จำเลยอ้างว่าปืนได้หายไปตั้งแต่เดือนมกราคม 2526 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แจ้งเรื่องอาวุธปืนหายไว้ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาก่อนนับเป็นพิรุธแก่จำเลยอย่างมาก พยานหลักฐานต่าง ๆ ของโจทก์ดังได้วินิจฉัยมาจึงรับฟังได้ว่า จำเลยได้กระทำผิดจริงดังฟ้องที่จำเลยนำสืบต่อสู้อ้างฐานที่อยู่นั้นเห็นว่า ทางนำสืบของจำเลยเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อถือ กล่าวคือ หลังเกิดเหตุเพียงวันเดียวบิดาจำเลยได้ไปแจ้งให้จำเลยทราบว่าถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนตายแทนที่จำเลยจะเข้ามามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อต่อสู้คดีกลับหลบอยู่ที่บ้านภรรยาจนกระทั่งวันที่ 12 สิงหาคม 2526 อันเป็นเวลาหลังเกิดเหตุถึงเกือบ 7 เดือนจึงเข้ามามอบตัว ทั้งที่จำเลยมีงานประจำทำอยู่ในกรุงเทพมหานครที่จำเลยนำนายบุญธรรมมาเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า คืนเกิดเหตุนายบุญธรรมได้วิ่งหลบออกไปนอกตลาดก่อนเกิดเหตุโดยไม่เห็นจำเลยในกลุ่มคนดังกล่าวและอ้างว่าไม่เคยให้การในชั้นสอบสวนว่าจำเลยเป็นคนยิงผู้ตายนั้น เห็นว่า คำนายบุญธรรมไม่น่าเชื่อถือ เพราะในชั้นสืบพยานโจทก์นายบุญธรรมไม่ยอมมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ ทั้ง ๆ ที่ได้ให้การในชั้นสอบสวนไว้แล้วโดยไม่ปรากฏเหตุผล แต่กลับมาเบิกความเป็นพยานจำเลยโดยเบิกความกลับคำให้การชั้นสอบสวน ที่อ้างเหตุผลว่าคำให้การชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนเขียนขึ้นเองแล้วพยานเซ็นชื่อโดยไม่ได้อ่านก่อนนั้น ปรากฏว่านอกจากนายบุญธรรมจะลงชื่อไว้ในคำให้การชั้นสอบสวนแล้วยังปรากฏภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.2 ว่าได้ชี้ตัวจำเลยและยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงนายสุเมธาถึงแก่ความตายโดยได้ลงชื่อไว้ในบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 ด้วยกรณีจึงน่าเชื่อว่านายบุญธรรมได้เห็นจำเลยยิงผู้ตายดังที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ที่จำเลยอ้างว่านายสมบัติวงศ์มะโรง ได้ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกฐานเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาปรากฏตามคดีเลขแดงที่ 9143/2528 ของศาลชั้นต้นแสดงว่านายสมบัติไม่ได้เห็นเหตุการณ์นั้น เห็นว่า พฤติการณ์ของนายสมบัติเป็นไปอย่างมีเลศนัยเพราะปรากฏว่านายสมบัติเข้าเบิกความต่อศาลชั้นต้นตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2527 ว่าเห็นจำเลยยิงผู้ตาย หลังจากนั้นอีกเกือบ 1 ปี คือวันที่ 27 สิงหาคม 2528 จึงได้มายื่นคำแถลงต่อศาลว่า คำที่เบิกความไว้ต่อศาลเป็นความเท็จ ความจริงตนไม่ได้เห็นเหตุการณ์ แต่ไม่มีเหตุผลว่าเหตุใดจึงได้เบิกความไว้ต่อศาลในชั้นแรกว่าได้เห็นจำเลยยิงผู้ตาย พฤติการณ์ส่อว่านายสมบัติกระทำไปเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดเพราะเห็นว่าโทษที่ตนเองอาจจะได้รับฐานเบิกความเท็จคงจะไม่สูงนัก แต่ความผิดที่จำเลยถูกฟ้องเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา มีโทษสูงถึงขั้นประหารชีวิต อย่างไรก็ดีคดีนี้แม้จะไม่มีคำนายสมบัติเป็นประจักษ์พยาน ลำพังพยานหลักฐานอื่น ๆ ของโจทก์ก็เพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้อยู่แล้ว พยานหลักฐานของจำเลยตามที่นำสืบมายังไม่เพียงพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ดังได้วินิจฉัยมาแล้วได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share