คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องกับจำเลยแยกกันอยู่และไม่เกี่ยวข้องกัน การที่ผู้ร้องมิได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าจำเลยถูกฟ้อง มิได้แสดงว่าผู้ร้องให้สัตยาบันหนี้ที่จำเลยก่อขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(4).(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คเป็นเงิน 43,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ต่างๆ อ้างว่าเป็นของจำเลย คือ สิทธิการเช่าโทรศัพท์หมายเลข 4669133 จำนวน 1 เครื่องตู้เย็น 1 ตู้ และโต๊ะทำงานพร้อมเก้าอี้ 1 ชุด เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์เหล่านี้ได้เงินรวมกัน 28,800 บาท
นางนิภา คูหาเกษมสิน ผู้ร้อง ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภริยาจำเลยโดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2513 ทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดทั้งหมดเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องและจำเลยหามาได้ในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย จึงเป็นสินสมรสที่ผู้ร้องมีสิทธิเป็นเจ้าของรวมด้วยกึ่งหนึ่ง หนี้สินที่จำเลยก่อขึ้นนั้นผู้ร้องมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือนำมาใช้จ่ายภายในครอบครัวเลย จึงไม่ใช่หนี้ซึ่งผู้ร้องจะต้องรับผิดร่วมด้วย ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกันส่วนการชำระเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าวให้กับผู้ร้องกึ่งหนึ่งของเงินที่ขายได้ทั้งหมด เป็นเงิน 14,400 บาท
โจทก์คัดค้านว่า การยื่นคำร้องของผู้ร้องเป็นการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ซึ่งจะต้องยื่นก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าว เมื่อผู้ร้องเข้ามาในคดีหลังการขายทอดตลาดแล้วจึงหมดสิทธิที่จะยื่นคำร้องเข้ามาได้ หนี้ที่จำเลยก่อขึ้นเป็นหนี้ร่วมซึ่งจำเลยและผู้ร้องต้องรับผิดร่วมกัน ผู้ร้องทราบถึงหนี้ของจำเลยรายนี้ และจำเลยหาเงินมาจุนเจือครอบครัวอยู่เสมอ ขอให้ยกคำร้อง นอกจากนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายดังกล่าว ซึ่งศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดเบื้องต้นว่า ผู้ร้องไม่ได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 แต่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา287 ผู้ร้องจึงขอกันส่วนภายหลังขายทอดตลาดทรัพย์ได้
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้ววินิจฉัยว่า หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างที่จำเลยและผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน เชื่อว่าเป็นหนี้เงินที่จำเลยนำมาใช้ในกิจการค้าขายและใช้จ่ายร่วมกันกับผู้ร้อง ถือว่าเป็นหนี้ร่วมกันผู้ร้องจึงขอกันส่วนไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่หนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิยึดเอาส่วนของผู้ร้องมาชำระหนี้ด้วย การที่ผู้ร้องขอกันส่วนจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไม่ใช่เป็นการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 จึงไม่ต้องยื่นคำร้องภายในกำหนดระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น พิพากษากลับให้แบ่งเงินกึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดเป็นเงิน14,400 บาท ให้ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘โจทก์ก็ยอมรับแล้วว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดในคดีนี้นั้นเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ที่โจทก์ฎีกาว่า หนี้ที่จำเลยนำเช็คมาแลกเงินสดจากโจทก์นั้นเป็นหนี้ร่วมกันระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 (4) เพราะคดีนี้โจทก์ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่บ้านซึ่งผู้ร้องอาศัยอยู่ เมื่อผู้ร้องทราบถึงการที่จำเลยถูกฟ้องคดีนี้ ผู้ร้องยังกลับเพิกเฉยไม่ขวนขวายแจ้งให้จำเลยทราบถึงการถูกฟ้อง ย่อมแสดงให้เห็นโดยปริยายว่าผู้ร้องได้ให้สัตยาบันในมูลหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้แล้วนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างวดังกล่าวกลับบ่งชี้ว่า ผู้ร้องกับจำเลยแยกกันอยู่และไม่เกี่ยวข้องกันจริงดังที่ผู้ร้องนำสืบ เพราะแม้แต่เรื่องที่จำเลยถูกฟ้องซึ่งนับว่าเป็นเรื่องสำคัญผู้ร้องให้สัตยาบันในหนี้ที่จำเลยก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 (4) แต่ประการใด เพราะโจทก์ฟ้องจำเลยแต่ผู้เดียวผู้ร้องไม่มีสิทธิต่อสู้คดีแทนจำเลย ที่โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ผู้ร้องกับจำเลยมิได้ทิ้งร้างกันจริง แต่ยังส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูกันอยู่นั้นโจทก์มิได้นำพยานเข้าสืบให้เห็นดังที่กล่าวอ้างเลย แต่ผู้ร้องนำสืบโดยมีตัวผู้ร้อง นายมงคล คูหาเกษมสิน บุตรผู้ร้องและนางสาวสมพิศ ธารบุปผา เพื่อนบ้าน มาเบิกความเป็นพยานผู้ร้องสอดคล้องต้องกันว่าในระยะ 6 ปีหลังนี้จำเลยแยกกันอยู่กับผู้ร้อง และไม่เคยอุปการะเลี้ยงดูผู้ร้องและบุตรเลย พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบดังกล่าวมีน้ำหนักน่าเชื่อถือข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยแยกกันอยู่กับผู้ร้องและไม่อุปการะเลี้ยงดูผู้ร้อง ฎีกาโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share