แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองกับผู้ตายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน วันเกิดเหตุ บ.ชวนจำเลยทั้งสองไปเที่ยวโดยนั่งรถสามล้อไป ด้วยกัน เมื่อผ่านหน้าบ้านผู้ตายพบผู้ตาย บ. ผละลงจากรถ ไปยิงผู้ตายโดยกะทันหันเพราะมีเรื่องอาฆาตกันอยู่เดิม ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้รู้หรือร่วมคบคิดกับ บ. มาก่อนแม้เมื่อ บ. ยิงผู้ตายแล้วจะย้อนกลับมาขึ้น รถสามล้อดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ถีบไป และจำเลยที่ 2 จะเคยไปถามหาผู้ตายก่อนเกิดเหตุพฤติการณ์เพียงเท่านี้ จะถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนในการฆ่าผู้ตาย หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายพรชัยถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า บ. พวกของจำเลยเป็นคนยิงผู้ตาย จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถีบสามล้อพา บ. มายิงผู้ตาย มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิด พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเป็นตัวการ่วมกันฆ่าผู้ตาย
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ตายกับจำเลยทั้งสองไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนขณะนายเบื๊อกผละจากท้ายรถจักรยานสามล้อลงไปยิงผู้ตายนั้น เป็นเวลารวดเร็วฉับพลันกะทันหันไม่ถึง ๑ นาที จำเลยทั้งสองคนนิ่งเงียบ ไม่ได้ทำอะไรและไม่ได้พูดอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้รู้มาก่อนหรือได้ร่วมคนคิดกับนายเบื๊อกมาก่อนเพื่อจะมาฆ่าผู้ตาย เหตุที่จำเลยที่ ๒ มาถามถึงผู้ตายที่ร้านขายโจ๊กของภรรยาผู้ตายเมื่อตอนเที่ยงคืนก็เพราะจำเลยที่ ๒ เป็นคนเคยรู้จักกันมาก่อนและมาจีบนางสาวทัดดาวนั่นเอง การที่จำเลยที่ ๒ มาพูดคุยจีบสาวที่ร้านผู้ตายและถามถึงผู้ตายเพียงแค่นี้ยังไม่พอฟังว่าเป็นการมาตามฆ่าหรือมาดักฆ่า หลังจากจีบสาวที่ร้านขายโจ๊กของผู้ตายอยู่รวมครึ่งชั่วโมงแล้ว นายเบื๊อกชวนจำเลยที่ ๒ ไปเที่ยวต่อบ้านสาวด้วยกันจำเลยที่ ๒ ก็ไปด้วยโดยร่วมโดยสารมาในรถจักรยานสามล้อบรรทุกคันเดียวกัน พอมาถึงหน้าบ้านผู้ตายนายเบื๊อกก็ผละจากท้ายรถจักรยานสามล้อไปยิงผู้ตายโดยกะทันหันซึ่งเป็นการกระทำของนายเบื๊อกเองโดยลำพังด้วยความอาฆาตที่ผูกใจเจ็บอยู่ผสมกับฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปในคืนนั้นก็เป็นได้ คดีไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ได้มีส่วนร่วมมือและร่วมใจในการฆ่านั้นแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ ประสบเหตุการณ์เช่นนั้นมีความตกใจรีบวิ่งกลับบ้าน ข้อเท็จจริงเพียงแค่นี้ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ ๒ เป็นตัวการร่วมในการฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ หรือเป็นผู้สนับสนุนการฆ่าตามมาตรา ๘๖ เพราะข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ มีเจตนาร่วมฆ่าผู้ตายด้วยดังกล่าวแล้ว
สำหรับจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ถีบรถจักรยานสามล้อบรรทุกให้นายเบื๊อกกับพวกนั่งมายังที่เกิดเหตุนั้น ก็ไม่ได้ความเช่นกันว่า จำเลยที่ ๑ มีเจตนาฆ่าผู้ตายร่วมกับนายเบื๊อกแต่อย่างใด รถจักรยานสามล้อที่จำเลยที่ ๑ ถีบมานั้นเป็นรถสำหรับบรรทุกของซึ่งจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ขับขี่ประจำในฐานะลูกจ้างของนางสุรินทร์พี่สาวนายเบื๊อกอยู่แล้วเป็นรถจักรยานถีบด้วยแรงคนซึ่งโดยปกติย่อมไม่มีความรวดเร็วพอที่จะใช้เป็นพาหนะในการหลบหนีได้ จำเลยที่ ๑ เองต่อสู้ว่าตนไม่ได้ขับขี่รถคันนั้นไปให้นายเบื๊อกในคืนวันเกิดเหตุ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าแม้จะฟังว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับขี่ไป จำเลยที่ ๑ ก็จะขับขี่ไปในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมไปเที่ยวด้วยกันโดยไม่ทราบว่านายเบื๊อกจะไปฆ่าผู้ตายก็ได้ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบทั้งสิ้นไม่ปรากฏว่าเลยว่า จำเลยที่ ๑ ได้รู้มาก่อนว่านายเบื๊อกจะไปฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ ๑ เองก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อน เมื่อรถจักรยานสามล้อที่นั่งกันมาหลายคนนั้นผ่านมาถึงหน้าบ้านผู้ตายอยู่ดี ๆ นายเบื๊อกก็ผละจากท้ายรถไปยิงกระหน่ำผู้ตายโดยกะทันหันถึง ๕ นัดซ้อนโดยไม่ปรากฏสาเหตุและไม่มีการพูดจาอะไรกับพวกที่นั่งรถไปด้วยกันเลย จำเลยที่ ๑ เองก็ไม่ได้ทำอะไร และไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น แม้เมื่อนายเบื๊อกทำการฆ่าเสร็จแล้วจะย้อนกลับมานั่งซ้อนท้ายให้จำเลยที่ ๑ ถีบไปก็ดี จำเลยที่ ๑ ก็ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรได้ดีกว่านั้น พฤติการณ์เพียงแค่นี้จะถือว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวการร่วมฆ่าหรือเป็นผู้สนับสนุนการฆ่าหาได้ไม่ เพราะคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาร่วมฆ่าด้วยแต่อย่างใด
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง