คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 588/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่อาจจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องโดยเหตุสุดวิสัย ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ จำเลยขอปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยวิธีคืนเงินให้โจทก์ อ้างเหตุผลในคำร้องว่าจำเลยจำต้องใช้บ้านที่อยู่อาศัยจำเลยไม่มีบ้านอื่นอีก ไม่สามารถหาที่อยู่ใหม่ได้และจำเลยเอาโฉนดไปประกันหนี้เงินกู้ไว้ เหตุดังกล่าวไม่ใช่เหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านได้ เพราะขณะที่จำเลยยื่นคำร้องจำเลยยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านอยู่ในวิสัยที่จะโอนให้ได้ การที่ศาลชั้นต้นไม่สอบถามโจทก์ก่อนและสั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลยจึงเป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งในชั้นบังคับคดีไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าให้เป็นที่สุด เมื่อโจทก์ร้องขอให้เพิกถอน ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจเพิกถอนได้ที่จำเลยอ้างว่าได้โอนขายที่และบ้านให้บุคคลภายนอกไปแล้วไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้โจทก์นั้น ก็เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำขึ้นในภายหลังที่จำเลยทราบคำบังคับของศาลแล้ว ไม่เป็นเหตุที่จะไม่ให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ผิดหลงได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่อาจจดทะเบียนได้เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องโดยเหตุสุดวิสัย ก็ให้จำเลยคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย จำเลยยื่นคำร้องขอปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยขอคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย ศาลชั้นต้นอนุญาต โจทก์ขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแทน ศาลชั้นต้นสอบคู่ความแล้วมีคำสั่งว่าจำเลยโอนที่พิพาทไปยังบุคคลภายนอกแล้ว หากโจทก์ประสงค์จะได้ที่พิพาทคืนก็ต้องไปว่ากันตามสิทธิ โจทก์ยื่นคำร้องใหม่ว่าศาลสั่งอนุญาตไปผิดลำดับขั้นตอนของคำพิพากษาซึ่งโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอม ขอให้สั่งเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้วางเงินแทนการจดทะเบียนห้ามจำเลยและผู้รับโอนไปโอนต่อให้ผู้อื่น พร้อมทั้งสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนที่จำเลยโอนให้บุคคลภายนอก แล้วให้จำเลยจดทะเบียนโอนให้โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้จำเลยวางเงินแทนการโอนที่พิพาท จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งหลังนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้ว่า หลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและบ้านพิพาทให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้ เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ทำได้โดยเหตุสุดวิสัย ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ จำเลยทราบคำบังคับแล้วต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอของจำเลยฝ่ายเดียวให้จำเลยวางเงินชำระหนี้ให้โจทก์แทนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทให้โจทก์ หลังจากนั้นจำเลยก็จดทะเบียนโอนขายที่พิพาทให้บุคคลอื่นโจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้จำเลยวางเงินแทนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้โจทก์และมีคำสั่งอายัดที่พิพาท ห้ามจำเลยและหรือบุคคลอื่นโอนหรือรับโอนที่พิพาท พร้อมทั้งให้สั่งเพิกถอนการที่จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้บุคคลอื่น เป็นให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและบ้านพิพาทให้โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่อนุญาตให้จำเลยวางเงินแทนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้โจทก์ และแจ้งอายัดที่พิพาทไปยังเจ้าพนักงานที่ดินอีกครั้งหนึ่ง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยวางเงินแทนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและบ้านพิพาทให้โจทก์เป็นคำสั่งโดยชอบ มิได้สั่งโดยผิดหลงและถึงที่สุดแล้ว ส่วนคำสั่งศาลชั้นต้นที่เพิกถอนคำสั่งเดิมที่อนุญาตดังกล่าว เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2527 เป็นคำร้องซ้อนกับคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 24 กันยายน 2527 ทั้งจำเลยได้วางเงินตามคำสั่งของศาลแล้วก็ได้โอนที่พิพาทและบ้านพิพาทไปให้บุคคลภายนอกโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จึงไม่อาจจดทะเบียนโอนที่พิพาทและบ้านพิพาทให้โจทก์ได้ นั้น เห็นว่า ตามคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 23 สิงหาคม 2527 ยังไม่มีเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจจดทะเบียนโอนที่พิพาท และบ้านพิพาทให้โจทก์ได้ เพราะขณะที่จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว จำเลยยังมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและบ้านพิพาทอยู่ จำเลยจึงอยู่ในวิสัยที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและบ้านพิพาทให้โจทก์ตามคำพิพากษาได้แต่จำเลยไม่โอน กลับมายื่นคำร้องขอวางเงินแทน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นไม่สอบถามโจทก์ก่อนและสั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลยจึงเป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งในชั้นบังคับคดีไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าให้เป็นที่สุดเมื่อโจทก์ร้องขอให้เพิกถอน ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ที่จำเลยอ้างว่าได้โอนขายที่พิพาทและบ้านให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้โจทก์ได้นั้นก็เป็นเรื่องจำเลยกระทำขึ้นในภายหลังที่จำเลยทราบคำบังคับของศาลแล้ว ไม่อาจเป็นเหตุที่จะไม่ให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ผิดหลงได้ คำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2527 ก็มิใช่คำร้องซ้อนกับคำร้องเดิมฉบับลงวันที่ 24 กันยายน 2527 เพราะคำร้องฉบับลงวันที่ 24 กันยายน 2527เป็นคำร้องที่โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยมาสอบถามเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยโอนที่พิพาทให้โจทก์ แต่คำร้องฉบับลงวันที่2 พฤศจิกายน 2527 เป็นคำร้องที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตโดยผิดหลง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตโดยผิดหลงนั้น ชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์จำนวน500 บาท”

Share