คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ปกติการทำร้ายร่างกายไม่เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจับโจทก์ข้อหาวิ่งราวทรัพย์ แล้วทำร้ายร่างกายโจทก์โดยเจตนาทำร้ายธรรมดา มิใช่เพื่อประสงค์จะให้เกิดผลอันใดในการปฏิบัติการตามหน้าที่ เพราะจำเลยจับโจทก์ได้แล้ว ทั้งจำเลยมิใช่พนักงานสอบสวนที่ทำร้ายโจทก์เพื่อประสงค์จะให้โจทก์รับสารภาพ กรณีจึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เมื่อโจทก์ได้รับอันตรายแก่กายจากการกระทำของจำเลยจำเลยมีความผิดตามมาตรา 295

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 295 ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่ 1 ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2525 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ได้จับกุมโจทก์ในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ และโจทก์ได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัส ปัญหามีว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายโจทก์จนเกิดอันตรายแก่กายและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ทางนำสืบจำเลยที่ 1 รับว่าขณะจับกุมจำเลยที่ 1 ได้เตะปลายคางโจทก์ 1 ครั้ง เพราะโจทก์ใช้มีดปลายแหลมแทงจำเลยที่ 1ก่อน ถูกบริเวณข้อศอกซ้าย แต่ตามรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.1 บันทึกไว้ว่าโจทก์มีบาดแผลหลายแห่ง คือใบหน้ามีรอยเขียวคล้ำและบวม มีบาดแผลที่ขอบตาบนทั้งสองข้าง มีรอยฟกช้ำของผิวหนังเป็นแห่ง ๆ ที่ลำคอ ทรวงอก และหน้าท้อง ผ่าตัดช่องท้องปรากฏว่า ลำไส้ใหญ่ฉีกขาด ตับอ่อนฟกช้ำ อันเกิดจากของไม่มีคมกระแทกอย่างแรง แสดงว่าโจทก์บาดเจ็บมากกว่าการเตะเพียงครั้งเดียว ซึ่งโจทก์เบิกความว่าเมื่อถูกจำเลยที่ 1 จับใส่กุญแจมือไขว้หลังแล้วจำเลยที่ 1 ได้เตะโจทก์ที่หน้าท้องและทั้งเตะทั้งต่อยอีกหลายครั้ง ต่อมาอีก 10 นาที มีรถตำรวจมาถึงอีกหลายคัน แล้วก็ถูกตำรวจอีกหลายคนกลุ้มรุมทำร้ายประมาณครึ่งชั่วโมงจนโจทก์สลบไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็รู้ตัวว่ามาอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองขอนแก่นแล้ว จำเลยที่ 2 เอากระดาษมาให้เซ็นชื่อจะมีข้อความหรือเปล่าไม่ทราบ เพราะมึนงงอยู่ แล้วก็นำตัวโจทก์ไปห้องมืดโจทก์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนรุมทำร้าย รวมทั้งใช้เชือกรัดคอดึงขึ้นเพื่อให้บอกชื่อชายสองคนที่นั่งซ้อนท้ายรถโจทก์ โจทก์ทนไม่ได้จึงได้บอกชื่อไป ที่ในห้องมืดนั้นผู้ทำร้ายจะเป็นใครโจทก์ไม่ทราบ ต่อมาคืนวันนั้นโจทก์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลขอนแก่นและได้รับการผ่าตัดหน้าท้อง รักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 2 เดือน ทราบภายหลังว่าลำไส้แตก ตับช้ำ และม้ามแตก ออกจากโรงพยาบาลมาแล้วลำไส้ยังไม่ได้เอากลับเข้าในท้อง ต่อมาอีก 7 เดือน จึงได้ทำการผ่าตัดเอาลำไส้กลับเข้าในท้องตามเดิม และโจทก์มีนายสุรัตน์โม้หอชัย เบิกความเป็นพยานว่า วันเวลาเกิดเหตุขับรถยนต์ผ่านมาที่เกิดเหตุชนรถจักรยานยนต์คันที่โจทก์ขับขี่จำได้ว่าเป็นรถของบิดามารดานางประไพภรรยาพยานพลิกคว่ำอยู่จึงหยุดดู และต่อมาเห็นโจทก์ถูกใส่กุญแจมือไขว้หลังนั่งอยู่และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนทำร้าย และภายหลังเมื่อโจทก์อยู่ที่สถานีตำรวจแล้ว พยานกับมารดาภรรยาได้ไปเยี่ยมเอายาแก้ช้ำในและเสื้อผ้าไปให้โจทก์เนื่องจากบิดามารดาของภรรยาพยานเป็นผู้ใช้ให้โจทก์ไปเก็บเงินจากร้านอาหารในตัวเมืองขอนแก่น นอกจากนั้นบิดามารดาของภรรยาพยานยังได้ไปเยี่ยมโจทก์ที่สถานีตำรวจแล้วกลับมาเล่าให้ฟังว่าเห็นโจทก์หน้าตาบวมช้ำเขียวช้ำไปหมดทั้งลำตัว และบอกว่าโจทก์ยังสลบอยู่ ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นบาดแผลเกิดจากรถจักรยานยนต์ล้มนั้นไม่น่าจะมีบาดแผลมากมายเช่นนี้ เพราะรถโจทก์เพียงแต่เสียหลักล้มลง มิได้ชนกับอะไร และจำเลยที่ 1 เบิกความว่าโจทก์ยังวิ่งหนีได้ ยิงปืนขู่ก็ไม่ยอมหยุดต้องวิ่งไล่กวดและยังต่อสู้จำเลยที่ 1 จนจำเลยที่ 1 เหนื่อยหมดแรง ถึงกับลงนั่งอาเจียน จึงไม่น่าเชื่อว่าขณะนั้นโจทก์ได้รับบาดเจ็บมากอันเกิดจากรถจักรยานยนต์ล้ม แต่น่าเชื่อว่าเกิดจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ้มรุมทำร้ายมากกว่า โดยจำเลยที่ 1 ลงมือเตะโจทก์ที่ท้องก่อน และร่วมกับพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจอื่นทำร้ายโจทก์ในบริเวณที่จับกุมด้วย ตามที่พยานโจทก์ยืนยัน ส่วนที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า โจทก์ใช้มีดแทงจำเลยที่ 1 ก่อนนั้น ไม่น่าเชื่อเพราะจำเลยที่ 1 มีปืนใช้ยิงไปเพียง1 นัด สามัญชนย่อมเชื่อว่าปืนนั้นต้องมีกระสุนอยู่อีก โจทก์คงจะไม่กล้าเข้าไปแทงจำเลยที่ 1 ซึ่งมีอาวุธร้ายแรงกว่า บาดแผลของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย ล.2 ก็มีแค่รอยถลอกที่แขนซ้ายเท่านั้นอาวุธมีดของกลางก็ไม่มี ข้อนำสืบของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์
ปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 1 จะมีความผิดฐานใดนั้น เห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ร่วมทำร้ายโจทก์ที่ห้องมืดใต้ถุนสถานีตำรวจ เพียงแต่นำสืบว่า จำเลยที่ 1 ก็อยู่ที่สถานีตำรวจด้วยแต่ไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำร้ายโจทก์บ้าง จึงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายโจทก์เฉพาะในบริเวณที่จับกุมเท่านั้น และการที่โจทก์ได้รับอันตรายถึงสาหัสก็ไม่ปรากฏชัดว่าเกิดจากการทำร้ายครั้งแรกหรือการทำร้ายที่สถานีตำรวจ การที่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายโจทก์จนเกิดอันตรายแก่กายถึงสาหัสเช่นนี้ จึงฟังได้อย่างมากว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายโจทก์ได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น ส่วนจะเป็นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือไม่นั้น เห็นว่าปกติการทำร้ายร่างกายไม่เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายโจทก์โดยเจตนาทำร้ายธรรมดามิใช่เพื่อประสงค์จะให้เกิดผลอันใดในการปฏิบัติการตามหน้าที่ เพราะจำเลยที่ 1จับกุมโจทก์ได้แล้วทั้งจำเลยที่ 1 ก็ไม่ใช่พนักงานสอบสวนที่ทำร้ายโจทก์เพื่อประสงค์จะให้โจทก์รับสารภาพ กรณีจึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อีกด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 157 อันเป็นบทหนักที่สุดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จำเลยที่ 1 คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายเท่านั้น ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ยกฟ้องนั้นจึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 83 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี การนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ทั้งได้ชดใช้ค่าเสียหายให้เป็นที่พอใจโจทก์จนขอถอนฟ้องคดีนี้ แต่ศาลไม่อนุญาต นับเป็นเหตุบรรเทาโทษจึงลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share