แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยฎีกาพร้อมคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณา คดีรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และ ยื่นคำร้องขอฟ้องฎีกา อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นสั่งในฎีกาและคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่าง คนอนาถาว่า รอฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ก่อนจึงจะพิจารณาสั่ง ต่อมาผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดีม่รับรองให้ฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นจึงสั่งในคำฟ้องฎีกาว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดีมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุสมควร ที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับรองฎีกา ให้ยกคำร้องแล้ว จึงไม่รับฎีกาของจำเลยส่วนคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นสั่งว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดีไม่รับรอง ให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว จึงไม่จำต้องไต่สวน ดังนี้คำสั่ง ศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถา ชอบแล้วเพราะเมื่อเห็นว่าจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ก็ชอบที่สั่งยกคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถานั้นเสีย โดยไม่ต้องไต่สวนคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคสาม แต่ศาลชั้นต้นต้องกำหนดให้จำเลย นำเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนดก่อนเมื่อถึงกำหนดแล้วไม่ชำระจึงจะสั่งในฎีกาของจำเลยว่ารับหรือไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ศาลชั้นต้นยัง ไม่ควรก้าวล่วงไปสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยเสียในตอนนี้ เมื่อ ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ถูกต้อง และศาลอุทธรณ์ ไม่ได้แก้ไข ศาลฎีกาจึงอาศัยอำนาจตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 247 แก้ไขให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเลขที่ 100/2 และที่ดินโฉนดเลขที่ 55405ตำบลทุ่งสองห้อง (สองห้อง) อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ)กรุงเทพมหานคร ให้ส่งมอบการครอบครองคืนโจทก์ทั้งสองในสภาพเรียบร้อย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันที่ 17 กันยายน 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยยื่นฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายพร้อมทั้งยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดีนี้รับรองฎีกาและยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์สั่งคำร้องที่ขอให้รับรองฎีกาว่า คดีไม่มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นจึงสั่งคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยว่าศาลอุทธรณ์ไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไต่สวนและสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องขอยื่นฎีกาและขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้จำเลยไม่อาจฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ คดีถึงที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เมื่อจำเลยฎีกาพร้อมคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดี รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถานั้น ศาลชั้นต้นสั่งในฎีกาและคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาว่า รอฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ก่อนจึงจะพิจารณาสั่ง ต่อมาปรากฏว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดีนี้ไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นจึงสั่งในคำฟ้องฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ (ที่ถูกคือผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดี) มีคำสั่งว่าไม่มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับรองฎีกา ให้ยกคำร้องแล้ว จึงไม่รับฎีกาของจำเลยส่วนคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลอุทธรณ์ (ที่ถูกคือผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดี) ไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไต่สวนดังนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาชอบแล้วเพราะเมื่อเห็นว่าจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย ก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถานั้นเสียโดยไม่ต้องไต่สวนคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสาม แต่ศาลชั้นต้นต้องกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนดก่อนเมื่อถึงกำหนดแล้วไม่ชำระจึงจะสั่งในฎีกาของจำเลยว่ารับหรือไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ศาลชั้นต้นยังไม่ควรก้าวล่วงไปสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยเสียในตอนนี้ เมื่อศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ถูกต้อง และศาลอุทธรณ์ไม่ได้แก้ไข ศาลฎีกาจึงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 247 แก้ไขให้ถูกต้องได้”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 2540และคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสั่งใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสาม