คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7034/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยได้ชำระค่าเสียหายแก่บุคคลผู้ต้องเสียหาย แล้วฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 เป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาประกันภัย จึงต้องอยู่ภายใต้อายุความ 2 ปีนับแต่วันวินาศภัยตามมาตรา 882 วรรคแรก พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยได้ตรวจความเสียหายและได้เรียกเก็บเงินค่าแจ้งเหตุจากโจทก์กับออกเอกสารให้โจทก์ถือไว้เป็นหลักฐาน ทั้งยังได้นำรถคันดังกล่าวไปตีราคาค่าซ่อมอีกด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการทำการอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้อง อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172 เดิม (มาตรา 193/14(1) ที่แก้ไขใหม่) เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ได้ล่วงไปก่อนนั้น ย่อมไม่นับเข้าในอายุความ จนเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นได้สิ้นสุดซึ่งในกรณีนี้ได้แก่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือปฏิเสธความรับผิดจากจำเลยซึ่งถือเป็นวันที่เป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสิ้นสุดลง จึงเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่แต่เวลานั้นสืบไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 181 เดิม(มาตรา 193/15 ที่แก้ไขใหม่) ส่วนประเด็นข้อพิพาทอื่น ๆ ที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยมาแม้คู่ความจะได้นำสืบข้อเท็จจริงมาเสร็จสิ้นเป็นการเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียเองได้ก็ตามแต่เมื่อฎีกาของโจทก์มิได้กล่าวถึงประเด็นพิพาทอื่นมาด้วยเช่นนี้ ศาลฎีกาจึงไม่อาจที่จะวินิจฉัยไปเสียทีเดียวได้ ต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาปัญหาดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เอาประกันภัยค้ำจุนรถยนต์โดยสารประจำทางปรับอากาศ หมายเลขทะเบียน 10 – 2679 ขอนแก่น ไว้กับจำเลยต่อมาในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย รถยนต์คันที่เอาประกันภัยได้ชนท้ายรถยนต์ของผู้เสียหาย จำเลยรับว่าจะชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายโจทก์จึงใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวให้ผู้เสียหายไป ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 37,596.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้อง
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นายเมธีดำเนินคดีแทน รถยนต์ที่เกิดเหตุไม่ใช่รถยนต์คันที่โจทก์เอาประกันไว้กับจำเลยค่าเสียหายไม่เกิน 6,000 บาท คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้เอาประกันค้ำจุนรถยนต์และได้ชำระค่าเสียหายแก่นายเสถียรซึ่งเป็นบุคคลผู้ต้องเสียหาย แล้วฟ้องจำเลยให้รับผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224และมาตรา 248 การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีนี้โจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยและได้ชำระค่าเสียหายแก่นายเสถียรซึ่งเป็นบุคคลผู้ต้องเสียหาย แล้วฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 887 เป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาประกันภัยจึงต้องอยู่ภายใต้อายุความ 2 ปี นับแต่วันวินาศภัยตามมาตรา 882 วรรคแรก
พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยได้ตรวจความเสียหายและได้เรียกเก็บเงินค่าแจ้งเหตุจากโจทก์กับออกเอกสารให้โจทก์ถือไว้เป็นหลักฐาน ทั้งยังได้นำรถคัดดังกล่าวไปตีราคาค่าซ่อมอีกด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่า ยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องดังกล่าวอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172 เดิม (มาตรา 193/14 (1) ที่แก้ไขใหม่)
เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ได้ล่วงไปก่อนนั้นย่อมไม่นับเข้าในอายุความ จนเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นได้สิ้นสุดซึ่งในกรณีนี้ได้แก่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือปฏิเสธความรับผิดจากจำเลย ซึ่งถือว่าเป็นวันที่เป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสิ้นสุดลง จึงเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่แต่เวลานั้นสืบไปตามมาตรา 181 เดิม (มาตรา 163/15 ที่แก้ไขใหม่) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อนับถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 2 ปีคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ส่วนประเด็นข้อพิพาทอื่น ๆ ที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยมา แม้คู่ความจะได้นำสืบข้อเท็จจริงมาเสร็จสิ้นเป็นการเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียเองได้ก็ตามแต่เมื่อฎีกาของโจทก์มิได้กล่าวถึงประเด็นพิพาทอื่นมาด้วยเช่นนี้ ศาลฎีกาจึงไม่อาจที่จะวินิจฉัยไปเสียทีเดียวได้ต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาปัญหาดังกล่าว
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นข้อพิพาทที่เหลือแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share