แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยมีเจตนาทำสัญญากู้ยืมเงินกันโดยจำเลยนำโฉนดที่ดินมาวางเป็นหลักประกันตั้งแต่ต้น มิได้มีเจตนาที่จะทำสัญญาขายฝากที่ดินและบ้านพิพาท สัญญาขายฝากที่ทำไว้จึงเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินและตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 118 วรรคหนึ่ง (มาตรา 155 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่) ต้องบังคับตามสัญญากู้ยืมเงินซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ตามมาตรา 118 วรรคสอง (มาตรา 155 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่) โดยถือว่าจำเลยได้มอบโฉนดที่ดินและบ้านพิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมเท่านั้น แต่จำเลยยังชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ไม่ครบถ้วนจำเลยยังไม่มีสิทธิขอให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินพิพาท และเมื่อการขายฝากที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะ ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้เพิกถอนเสีย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ จำเลยขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๗๑๒ พร้อมบ้าน ๑ หลัง ไว้แก่โจทก์ กำหนดไถ่คืน ๑ ปี ครั้นถึงกำหนดจำเลยไม่ได้ไถ่คืนและไม่ออกไปจากบ้านและที่ดินดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยและบริวารอาศัยในบ้านและที่ดินพิพาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินพิพาท ห้ามมิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยและบริวารย้ายชื่อออกจากสำเนาทะเบียนบ้านพิพาท หากไม่ย้ายชื่อออกให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและบริวาร ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๒,๕๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินพิพาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์และจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะทำสัญญาขายฝากกันจริงแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวทำขึ้นเพื่ออำพรางสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยกู้ยืมโจทก์จำนวน ๗๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ สัญญาขายฝากดังกล่าวเกิดจากเจตนาลวงเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๗๑๒ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง จำเลยได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้ยืมแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่ยอมไถ่การขายฝากให้แก่จำเลย ขอให้บังคับโจทก์ดำเนินการไถ่การขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๗๑๒ พร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การจดทะเบียนขายฝากระหว่างโจทก์และจำเลยกระทำไปตามความประสงค์ของทั้งสองฝ่าย จำเลยชำระเพียงดอกเบี้ย ส่วนต้นเงินไม่เคยชำระ จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ไถ่คืนภายในกำหนด ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๗๑๒ และบ้านเลขที่ ๒๖ ถนนเดชอุดม ซอยเดชอุดม ๖ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๑,๒๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๙) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท คำขออื่นให้ยก และยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า ก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาขายฝากที่ดินและบ้านพิพาทไว้แก่โจทก์ นางพรรณีและนางเตือนใจต้องการใช้เงินคนละ ๔๐,๐๐๐ บาท และ ๓๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ นางพรรณีจึงไปขอยืมโฉนดที่ดินพิพาทจากจำเลยเพื่อนำไปวางประกันเงินกู้ยืม จำเลยยินยอมให้นำโฉนดที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมโดยจดทะเบียนขายฝากที่ดินและบ้านพิพาทไว้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท เหตุที่ทำเป็นสัญญาขายฝากน่าเชื่อว่าการนำโฉนดที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมแต่เพียงอย่างเดียวไม่เป็นหลักประกันที่ดีแก่โจทก์ โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญาขายฝากไว้ นางพรรณีเบิกความว่า โจทก์บอกว่าภาษีแพงให้ทำสัญญาขายฝากเพียง ๒๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก ๕๐,๐๐๐ บาท ให้ไปทำสัญญากู้ยืมเงินที่บ้านของโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความรับว่า หลังจากจดทะเบียนขายฝากแล้วในวันนั้นได้ให้จำเลยและนางพรรณีกู้ยืมเงินอีก ๗๐,๐๐๐ บาท แม้จำนวนเงินจะแตกต่างจากที่นางพรรณีเบิกความ แต่จำเลยก็เบิกความยืนยันว่า ก่อนที่จะรับเงินอีก ๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินระบุจำนวนเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท แสดงว่าโจทก์และจำเลยมีเจตนาทำสัญญากู้ยืมเงินกันมาตั้งแต่ต้น มิได้มีเจตนาที่จะทำสัญญาขายฝาก ทั้งตามสำเนาสัญญากู้ยืมเงินระบุว่า จำเลยนำโฉนดที่ดินที่จำเลยขายฝากไว้แก่โจทก์มาวางเป็นหลักประกัน การขายฝากนั้นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ขายฝากย่อมตกเป็นของผู้ซื้อฝากตั้งแต่เมื่อทำสัญญาขายฝาก การที่โจทก์ยอมรับเอาโฉนดที่ดินที่จำเลยขายฝากไว้แก่โจทก์เป็นหลักประกัน เท่ากับโจทก์ยอมรับว่าที่ดินและบ้านพิพาทที่ขายฝากยังเป็นของจำเลยอยู่ จำเลยเพียงแต่นำมาวางไว้เป็นหลักประกันเท่านั้น หลังจากทำสัญญากู้ยืมเงินแล้วฝ่ายจำเลยได้นำดอกเบี้ยและต้นเงินไปชำระให้แก่โจทก์ตลอดมาจนถึงปี ๒๕๓๕ จึงหยุดชำระ พฤติการณ์เห็นได้ชัดว่าคู่สัญญาไม่มีเจตนาที่จะผูกพันตามสัญญาขายฝาก รูปคดีมีเหตุผลเชื่อว่าโจทก์และจำเลยมีเจตนาจะผูกพันในเรื่องการกู้ยืมเงินตามข้อต่อสู้ของจำเลย สัญญาขายฝากที่ทำไว้จึงเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินและตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘ วรรคหนึ่ง (มาตรา ๑๕๕ วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่) ต้องบังคับตามสัญญากู้ยืมเงินซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘ วรรคสอง (มาตรา ๑๕๕ วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่) โดยถือว่าจำเลยได้มอบโฉนดที่ดินและบ้านพิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมเท่านั้น ทั้งจะต้องรับฟังว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ ๗๐,๐๐๐ บาท ดังที่ปรากฏไว้ตามสำเนาสัญญากู้ยืมเงิน หลังจากทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์แล้วจำเลยได้ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินให้โจทก์ถึงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๓๕ แล้วเป็นจำนวน ๙๓,๔๘๐ บาท แต่เมื่อคำนวณอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันกู้ยืมเงินแล้ว จำเลยยังชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ไม่ครบถ้วน จำเลยยังไม่มีสิทธิขอให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินพิพาทจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ตามสำเนาสัญญากู้ยืมเงินให้แก่โจทก์จนครบถ้วน ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน และเมื่อการขายฝากที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะดังกล่าวแล้ว ก็ชอบที่จะพิพากษาให้เพิกถอนเสีย
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๗๑๒ ตำบลปรุใหญ่ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา และบ้านพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ แต่ให้โจทก์ยังคงยึดโฉนดที่ดินดังกล่าวไว้จนกว่าจำเลยจะชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ครบถ้วน.