คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2515/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองให้การว่า จ. ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาขายลดเช็คในฐานะผู้ให้สัญญาแต่ฝ่ายเดียว จึงเป็นคำเสนอของ จ. ยังไม่เกิดเป็นสัญญาที่บังคับได้ ดังนี้ คำให้การจำเลยทั้งสองดังกล่าวเท่ากับจำเลยทั้งสองให้การยอมรับว่า จ. ได้ลงลายมือชื่อทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์แล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองที่ว่า ตามปกติ จ. จะลงลายมือชื่อในเอกสารเป็นลายเซ็น ไม่ใช่ลายมือเขียน ลายมือชื่อในช่องผู้ให้สัญญาในสัญญาขายลดเช็คจะเป็นลายเซ็นของ จ. หรือไม่ ไม่ทราบ จึงฟังไม่ขึ้น สัญญาขายลดเช็คไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อผู้ทำสัญญาได้ลงลายมือชื่อในสัญญาแล้วแม้จะมีพยานหรือไม่มีพยานลงลายมือชื่อในสัญญา สัญญาก็มีผลบังคับได้หากจะมีการเพิ่มเติมชื่อพยานลงในสัญญาภายหลังโดยไม่ได้แก้ไขข้อความก็ไม่ทำให้สัญญาเสียไป แม้ตามสัญญาขายลดเช็คจะมีข้อความว่า จ. นำเช็คมาขายเพื่อแลกเงินสดจากโจทก์ แต่ จ. ก็ได้ทำสัญญากับโจทก์ไว้ว่า หากธนาคารไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ จ. ก็ยินยอมชำระเงินให้ทันทีที่ได้รับแจ้งจากธนาคาร อันเป็นข้อสัญญาต่างหากว่า แม้เช็คจะเรียกเก็บเงินไม่ได้ ผู้ขายเช็คก็ยินยอมใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ทันที ดังนั้น แม้เช็คจะเรียกเก็บเงินไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน และกำหนดอายุความฟ้องเรียกเงินตามเช็คได้สิ้นไปแล้วโจทก์ก็ยังมีสิทธิฟ้องเรียกให้ จ. ใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ได้ตามสัญญา กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความในการฟ้องเรียกเงินตามสัญญาขายลดเช็คไว้ จึงต้องถือว่ามีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม จำเลยผู้จัดการมรดกของ จ. จึงไม่อาจอ้างอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 1002 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ จ. ได้ทำสัญญาขายลดเช็คแก่โจทก์ 2 ฉบับ เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จ. จึงต้องรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ เมื่อ จ. ถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. จึงต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางจิรวรรณ กัมปนาทแสนยากร เป็นลูกค้าของโจทก์สาขาสามยอด เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2531นางจิรวรรณได้ทำสัญญาขายลดเช็คของธนาคารกสิกรไทย สาขาลาดพร้าวจำนวน 2 ฉบับ แก่โจทก์ สาขาสามยอด เช็คฉบับแรกลงวันที่31 ธันวาคม 2531 จำนวนเงิน 200,000 บาท ฉบับที่ 2 ลงวันที่28 มกราคม 2532 จำนวนเงิน 500,000 บาท รวมเป็นเงิน 700,000 บาทโดยนางจิรวรรณเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คทั้งสองฉบับและมีข้อสัญญาว่า หากโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้นางจิรวรรณ ยอมชดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี เมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ทวงถามแล้ว นางจิรวรรณ ไม่ชำระต้นเงินตามเช็ครวมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน 114,164.37 บาท รวมเป็นเงิน814,164.37 บาท โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางจิรวรรณแล้ว แต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 814,164.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 700,000 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนางจิรวรรณจริง แต่คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องเนื่องจากโจทก์นำคดีมาฟ้องพ้นเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1002 นางจิรวรรณลงลายมือชื่อในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ฝ่ายเดียวจึงเป็นเพียงคำเสนอ มิได้เป็นสัญญาตามกฎหมายและมิได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเอกสารดังกล่าวมาฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนางจิรวรรณร่วมกันชำระเงินจำนวน 700,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000 บาท และ500,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2532 และวันที่ 30 มกราคม2532 ตามลำดับ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวมกันต้องไม่เกิน 114,164.37 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนางจิรวรรณจะต้องรับผิดชดใช้เงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์หรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาข้อแรกว่าตามปกตินางจิรวรรณจะลงลายมือชื่อในเอกสารเป็นลายเซ็นไม่ใช่ลายมือเขียน ลายมือชื่อในช่องผู้ให้สัญญาในสัญญาขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.4 จะเป็นลายเซ็นของนางจิรวรรณหรือไม่ ไม่ทราบจำเลยทั้งสองให้การว่า นางจิรวรรณได้ลงลายมือชื่อในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 (สัญญาขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.4) ในฐานะผู้ให้สัญญาแต่ฝ่ายเดียว จึงเป็นคำเสนอของนางจิรวรรณ ยังไม่เกิดเป็นสัญญาที่บังคับได้ คำให้การจำเลยทั้งสองดังกล่าวเท่ากับจำเลยทั้งสองให้การยอมรับว่านางจิรวรรณได้ลงลายมือชื่อทำสัญญาขายลดเช็คตามเอกสารหมาย จ.4 กับโจทก์แล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น จำเลยทั้งสองฎีกาข้อ 2 ว่า ตามสำเนาภาพถ่ายสัญญาขายลดเช็คเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 มีผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยาน 2 คน แต่สัญญาขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.4 ที่โจทก์ส่งศาลมีผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยาน 4 คน โจทก์ได้เพิ่มเติมชื่อพยานลงในเอกสารดังกล่าวอีก 2 คน หลังจากฟ้องคดีแล้วเอกสารดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย เห็นว่า สัญญาขายลดเช็คไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเมื่อฟังได้ว่าผู้ทำสัญญาได้ลงลายมือชื่อในสัญญาแล้ว แม้จะมีพยานหรือไม่มีพยานลงลายมือชื่อในสัญญา สัญญาก็มีผลบังคับได้ หากจะมีการเพิ่มเติมชื่อพยานลงในสัญญาภายหลังโดยไม่ได้แก้ไขข้อความก็ไม่ทำให้สัญญาเสียไป ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 หรือไม่เห็นว่า แม้ตามสัญญาขายลดเช็คจะมีข้อความว่านางจิรวรรณนำเช็คมาขายเพื่อแลกเงินสดจากโจทก์ แต่นางจิรวรรณก็ได้ทำสัญญากับโจทก์ไว้ว่า หากธนาคารไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ นางจิรวรรณก็ยินยอมชำระเงินให้ทันทีที่ได้รับแจ้งจากธนาคาร อันเป็นข้อสัญญาต่างหากว่า แม้เช็คจะเรียกเก็บเงินไม่ได้ ผู้ขายเช็คก็ยินยอมใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ทันที ดังนั้น แม้เช็คจะเรียกเก็บเงินไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน และกำหนดอายุความฟ้องเรียกเงินตามเช็คได้สิ้นไปแล้ว โจทก์ก็ยังมีสิทธิฟ้องเรียกให้นางจิรวรรณใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ได้ตามสัญญา กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความในการฟ้องเรียกเงินตามสัญญาขายลดเช็คไว้ จึงต้องถือว่ามีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม จำเลยจึงไม่อาจอ้างอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 1002 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ คดีนี้เชื่อได้ว่านางจิรวรรณได้ทำสัญญาขายลดเช็คแก่โจทก์ 2 ฉบับ ตามฟ้องเป็นเงิน 700,000 บาท จริง เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน นางจิรวรรณจึงต้องรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ เมื่อนางจิรวรรณถึงแก่กรรมจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางจิรวรรณจึงต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์
พิพากษายืน

Share