คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5245/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การจะบอกเลิกสัญญากันได้ต้องอาศัยข้อสัญญาหรือกฎหมายที่มีบทบัญญัติให้เลิกสัญญาได้ ตามสัญญาค้ำประกันเงินกู้ไม่ได้กำหนดให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันมีสิทธิเลิกสัญญาได้ทั้งข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าฝ่ายโจทก์ได้มีหนังสือตอบปฏิเสธไม่ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 บอกเลิกสัญญาค้ำประกันสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จึงยังไม่ระงับไป.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2525 จำเลยที่ 1กู้ยืมเงินโจทก์ 4,000,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ผ่อนชำระหนี้เดือนละ 200,000 บาท กำหนดชำระหนี้ภายในวันที่ 19 มกราคม 2528จำเลยที่ 1 ได้นำที่ดิน 2 แปลง มาจดทะเบียนจำนองไว้แก่ โจทก์เพื่อเป็นการประกันหนี้ และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยยอมร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ผ่อนชำระหนี้ตามสัญญา คิดถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2529 จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 4,177,119.43 บาท โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งหกชำระหนี้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งหกเพิกเฉย คิดถึงวันฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นหนี้โจทก์จำนวน 4,203,256.63 บาท ขอบังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน3,028,597.23 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระก็ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากไม่พอก็ให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งหกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งหกให้การต่อสู้หลายประการ และต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2ถึงที่ 6 ตกลงกับโจทก์ยกเลิกการค้ำประกันทั้งหมดแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เฉพาะจำเลยที่ 5 ได้ยืนยันการตกลงไปยังโจทก์อีกครั้งเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2528 โจทก์บรรยายฟ้องเคลือบคลุมไม่ชัดแจ้งในเรื่องการเป็นหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 4 และที่ 5 ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายประพันธ์ บุญพาวัฒนา กับพวก เข้ามาเป็นจำเลยร่วม แต่ต่อมาได้ขอถอนคำร้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,028,597.23 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยทั้งหกไม่ชำระก็ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งหกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
โจทก์และจำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6ได้บอกกล่าวยกเลิกสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว การจะบอกเลิกสัญญากันได้ต้องอาศัยข้อสัญญาหรือกฎหมายที่มีบทบัญญัติให้เลิกสัญญาได้ จะเลิกสัญญาเอาเองโดยไม่มีข้อสัญญายินยอมกันหรือไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เลิกสัญญานั้นไม่ได้ ตามสัญญาค้ำประกันเงินกู้เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6ไม่ได้กำหนดเป็นข้อสัญญาให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ฝ่ายผู้ค้ำประกันมีสิทธิเลิกสัญญาได้ ทั้งข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบก็ฟังได้ว่าฝ่ายโจทก์ได้มีหนังสือหมาย ล.11 ตอบปฏิเสธไม่ยินยอมให้จำเลยที่ 2ถึงที่ 6 บอกเลิกสัญญาค้ำประกัน สัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จึงยังไม่ระงับไป โจทก์ยังมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ชำระหนี้ ตามสัญญาค้ำประกันนั้นได้
เกี่ยวกับปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไว้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเฉพาะดอกเบี้ย ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ฟ้องโจทก์รวมทั้งเรื่องดอกเบี้ยไม่เคลือบคลุม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินจำนวน4,203,256.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้น3,028,597.23 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share