คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4275/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้แทงโจทก์ร่วมในขณะชุลมุนต่อสู้กับโจทก์ร่วม และขณะที่แทง โจทก์ร่วมนั่งคร่อมอยู่บนตัวจำเลยและบีบคอจำเลยอยู่ในภาวะและพฤติการณ์เช่นนั้น จำเลยย่อมไม่มีโอกาสเลือกได้ว่าจะแทงบริเวณไหน ในขณะนั้นใบหน้าของโจทก์ร่วมเป็นตำแหน่งที่จำเลยจะแทงได้ถนัดกว่าบริเวณอื่น แม้บาดแผลดังกล่าวจะเป็นบาดแผลฉกรรจ์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเพราะถูกแทงโดยแรง ก็เนื่องจากจำเลยมีเจตนาจะหยุดยั้งมิให้โจทก์ร่วมบีบ คอจำเลยจนหายใจไม่ออกจำเลยจึงได้แทงส่วนออกไปด้วยความตกใจและกลัวตาย จำเลยแทงโจทก์เพียงครั้งเดียว ทั้ง ๆ ที่จำเลยจะแทงซ้ำอีกก็ย่อมกระทำได้เพราะแม้มีดจะหลุดคา อยู่ที่บาดแผลของโจทก์ร่วม แต่มีดของจำเลยเป็นมีดที่ชาวบ้านเรียกว่าเสือซ่อนเล็บเป็นมีดคู่มี 2 เล่ม เมื่อแทงโจทก์ร่วมแล้วก็ยังเหลือมีดอยู่อีกเล่มหนึ่ง แต่จำเลยก็มิได้ใช้มีดที่เหลือแทงโจทก์ร่วมอีก กลับโยนทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุแล้วผละหนีไป ดังนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมจำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80,288 และสั่งริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ลงโทษจำคุก 10 ปี จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน และนำสืบข้อเท็จจริงบางประการเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน มีดของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 4 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ ให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี 8 เดือนความผิดข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมของกลางเป็นอาวุธแทงทำร้ายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส มีบาดแผลที่โหนกแก้มซ้ายทะลุผ่านเข้าไปช่องจมูกขนาดกว้าง 3 เซนติเมตร ลึก 9 เซนติเมตรใช้เวลารักษาประมาณ 1 เดือน
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า แม้ที่จำเลยใช้แทงโจทก์ร่วมจะมีลักษณะเป็นอาวุธโดยเฉพาะ ซึ่งจำเลยได้พกติดตัวมาก่อนที่จะเกิดทะเลาะกับโจทก์ร่วมแต่จำเลยมิได้เตรียมมีดดังกล่าวเอาไว้เพื่อจะทำร้ายโจทก์ร่วมแต่อย่างใด เพราะโจทก์ร่วมเป็นน้องเขยของจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน เพิ่งจะมีเรื่องทะเลาะกันในวันเกิดเหตุจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จำเลยจะฆ่าโจทก์ร่วม เกี่ยวกับบาดแผลของโจทก์ร่วมนั้น ปรากฏตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมว่าจำเลยได้แทงโจทก์ร่วมในขณะชุลมุนต่อสู้กับโจทก์ร่วม และขณะที่แทงปรากฏตามคำเบิกความของจำเลยว่าโจทก์ร่วมได้นั่งคร่อมอยู่บนตัวจำเลยและบีบคอจำเลยอยู่ ในภาวะและพฤติการณ์เช่นนั้น จำเลยย่อมไม่มีโอกาสเลือกได้ว่าจะแทงบริเวณไหน ในขณะนั้นใบหน้าของโจทก์ร่วมเป็นตำแหน่งที่จำเลยจะแทงได้ถนัดว่าบริเวณอื่น จำเลยได้แทนโจทก์ร่วมเพียงครั้งเดียว ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสจะแทงซ้ำอีกได้ แม้บาดแผลดังกล่าวจะเป็นบาดแผลฉกรรจ์เพราะถูกแทงโดยแรงก็เนื่องจากจำเลยมีเจตนาจะหยุดยั้งมิให้โจทก์ร่วมบีบคอจำเลยจนหายใจไม่ออก จำเลยจึงได้แทงสวนออกไปด้วยความตกใจและกลัวตาย เมื่อแทงแล้วก็ผละหนีไม่ได้ทำร้ายโจทก์ร่วมอีก ส่วนข้อฎีกาที่โจทก์อ้างว่า จำเลยแทงเพียงครั้งเดียวไม่ได้แทงซ้ำอีกนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจำเลยจะไม่แทงโจทก์ร่วมซ้ำอีก แต่โอกาสไม่อำนวย จำเลยจึงไม่สามารถแทงซ้ำได้เพราะมีดที่จำเลยใช้เป็นอาวุธเกิดหลุดมือฝังติดตรึง อยู่ กับใบหน้าของโจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า ปรากฏตามคำเบิกความของจำเลยว่าเมื่อจำเลยแทงโจทก์ร่วมแล้วก็ได้ผละหนีไป ทั้ง ๆ ที่จำเลยจะแทงซ้ำอีกก็ย่อมกระทำได้เพราะแม้มีดจะหลุดคาอยู่ที่บาดแผลของโจทก์ร่วมแต่มีดของจำเลยเป็นมีดที่ชาวบ้านเรียกว่าเสือซ่อนเล็บเป็นมีดคู่มี 2 เล่น เมื่อแทงโจทก์ร่วมแล้วก็ยังเหลือมีดอยู่อีกเล่นหนึ่งแต่จำเลยก็มิได้ใช้มีดที่เหลือแทงโจทก์ร่วมอีก กลับโยนทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุแล้วผละหนีไป ซึ่งข้อนี้มีร้อยตำรวจตรีช้วน พิมพ์ศรีพนักงานสอบสวนเบิกความเจือสมคำเบิกความของจำเลยว่า โจทก์ร่วมได้นำมีดปลายแหลมมามอบให้ 1 เล่ม โดยยันยันว่าเป็นมีดปลายแหลมที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุปรากฏตามมีดวัตถุพยานหมาย จ.2 เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดโดยมีเจตนาทำร้ายโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.

Share